title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 29
179k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมเกษตรกรกลุ่มปลูกหม่อนเลี้ยงไหม | วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563
เยี่ยมเกษตรกรกลุ่มปลูกหม่อนเลี้ยงไหม
‘รมช.มนัญญา’ เยี่ยมเกษตรกรกลุ่มปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ดันต่อยอดผ้าทอฝ้ายแกมไหม เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
รมช.มนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจำหน่ายรังในพื้นที่ชุมชน4สปก.อุทัยธานีและพบปะรับฟังปัญหาของเกษตรกรในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิกรมส่งเสริมสหกรณ์กรมหม่อนไหมส.ป.ก.เป็นต้นณอาคารเอนกประสงค์ส.ป.ก.บ้านร่องตาทีตำบลลานสักอำเภอลานสักจังหวัดอุทัยธานีซึ่งพื้นที่ทำการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็นพื้นที่ในโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล(คทช.)ที่ส.ป.ก.ได้ดำเนินการนำที่ดินแปลงว่างเนื้อที่ประมาณ3,000กว่าไร่โดยให้เกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในรูปแบบแปลงรวมผ่านกระบวนการสหกรณ์โดยสหกรณ์ปฏิรูปที่ดินระบำจำกัดขอเช่าท่ีดินจากส.ป.ก.เนื้อที่ประมาณ2,423-0-84ไร่และจัดให้สมาชิก369รายครอบคลุมพื้นที่หมู่ที่4, 6และ8ตำบลระบำและหมู่ที่7และ10ตำบลลานสักอำเภอลานสักจังหวัดอุทัยธานีเกษตรกรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำการเกษตรเช่นปลูกผักปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและมันสำปะหลังโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์กรมหม่อนไหมและส.ป.ก.ได้ส่งเสริมพัฒนาอาชีพให้กับเกษตรกรในพื้นที่โครงการคทช.อาทิการพัฒนาต่อยอดหม่อนไหมเป็นผ้าทอฝ้ายแกมไหมและย้อมสีธรรมชาติเพื่อเพิ่มมูลค่ารวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์packagingและเป็นตัวกลางในการกระจายสินค้าไปสู่ตลาดตลอดจนเชื่อมโยงกับเครือข่ายสหกรณ์ซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ต่อไป
สำหรับสมาชิกกลุ่มผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในพื้นที่ชุมชน4มีสมาชิกจำนวน53รายกลุ่มทอผ้าและทำเสื่อกก20รายสหกรณ์มีแผนที่จะส่งเสริมการทอผ้าและทำเสื่อกกโดยจะดำเนินการจัดตั้งกลุ่มอาชีพเพื่อต่อยอดให้สามารถทำเป็นอาชีพหลักได้เนื่องจากมีความมั่นคงในอาชีพ มีตลาดรองรับที่แน่นอนใช้เวลาเลี้ยงเพียง22วันสามารถสร้างรายได้ประมาณ9,000–14,000บาทอย่างไรก็ตามอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมนับเป็นอีกอาชีพสำคัญที่เป็นทางเลือกให้เกษตรกรไทยในการสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนจึงควรมีการส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและเกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงยั่งยืน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37532 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สาธิต" ยันเชียงใหม่คุมโควิดได้ สถานการณ์ปลอดภัย มีเตียง ยา เวชภัณฑ์พร้อมรับมือ 3 เดือน | วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563
"สาธิต" ยันเชียงใหม่คุมโควิดได้ สถานการณ์ปลอดภัย มีเตียง ยา เวชภัณฑ์พร้อมรับมือ 3 เดือน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยเชียงใหม่มีผู้ป่วยโควิด 19 กรณีท่าขี้เหล็ก 5 ราย ไม่มีการติดเชื้อภายในพื้นที่ ทั้งหมดอยู่ในสถานการณ์ควบคุมได้และมีความปลอดภัย มีทรัพยากรพร้อมรับมือโรคโควิด 19 ทั้งเตียง ยา เวชภัณฑ์ นานถึง 3 เดือน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยเชียงใหม่มีผู้ป่วยโควิด 19 กรณีท่าขี้เหล็ก 5 ราย ไม่มีการติดเชื้อภายในพื้นที่ ทั้งหมดอยู่ในสถานการณ์ควบคุมได้และมีความปลอดภัย มีทรัพยากรพร้อมรับมือโรคโควิด 19 ทั้งเตียง ยา เวชภัณฑ์ นานถึง 3 เดือน พร้อมยกระดับการบริหารจัดการหากพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ขอผู้ลักลอบเข้าเมืองแสดงตัวเพื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อ ย้ำสถานประกอบการตรวจคัดกรองเข้ม ประชาชนคงมาตรการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง สแกนไทยชนะ เน้นจัด Big Cleaning Day
วันนี้ (10 ธันวาคม 2563) ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมสถานบริการสาธารณสุขในการรับมือโรคโควิด 19 ของ จ.เชียงใหม่ และให้กำลังใจบุคลากรที่ปฏิบัติงาน ว่า ผู้ป่วยโควิด 19 จากกรณี จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ขณะนี้มีจำนวน 46 ราย เป็นการลักลอบเข้ามา 17 ราย เข้ามาถูกต้องและเข้าสู่ระบบกักกัน 27 ราย และติดเชื้อในประเทศ 2 ราย สำหรับพื้นที่ จ.เชียงใหม่ไม่มีการแพร่ระบาดในพื้นที่มามากกว่า 6 เดือนแล้ว มีเพียง 5 รายจากกรณีท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งลักลอบเข้ามาทั้งหมด ด้วยความเชี่ยวชาญและความรวดเร็วของทีมสอบสวนโรค ทำให้ตามผู้สัมผัสได้อย่างครบถ้วน แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 95 ราย ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำมากกว่า 300 ราย ตรวจหาเชื้อแล้ว 3 ครั้ง ไม่พบผู้ใดติดเชื้อ ขณะที่การตรวจคัดกรองเชิงรุกโดยรถเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน ตั้งแต่วันที่ 4-9 ธ.ค. 63 จำนวน 914 ราย ผลเป็นลบทั้งหมด
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการป้องกันควบคุมโรคผู้เดินทางมาจากประเทศเมียนมา ด้วยการขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล โดยสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง สแกนไทยชนะ บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนเข้มมาตรการป้องกันการติดเชื้อ อสม.เฝ้าสังเกตและดูแลบุคคลที่กลับเข้ามาในพื้นที่ ทราบว่าขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงมีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่บริเวณชายแดนเพื่อสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย บูรณาการตรวจกำกับกิจการหรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองวัดไข้พนักงานและผู้รับบริการสนับสนุนทีมสอบสวนโรคในการสืบสวนผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย และส่งเสริมการทำความสะอาดพื้นที่ต่างๆ โดยการจัด Big Cleaning Day ทำให้สถานการณ์ของจ.เชียงใหม่ขณะนี้ไม่มีสัญญาณการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างถือว่าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้แล้วและมีความปลอดภัย
ดร.สาธิตกล่าวว่า สำหรับทรัพยากรต่างๆ ทั้งเตียง ยา เวชภัณฑ์ หน้ากากอนามัย ชุด PPE ของ จ.เชียงใหม่ มีความพร้อมรองรับผู้ป่วยประมาณ 3 เดือน โดยมี AIIR 62 เตียง ห้องแยก Isolation Room 69 ห้อง Cohort Ward 369 เตียง ICU 92 เตียง และเครื่องช่วยหายใจ 188 เครื่อง ถือว่าเพียงพอ มีสถานกักกันโรคที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) มีจำนวน 4 แห่งรองรับได้ 1,158 คน สามารถตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการได้ 2,088 ตัวอย่างต่อวัน และพร้อมยกระดับการบริหารจัดการกรณีมีผู้ป่วยจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยประสานมายังส่วนกลางซึ่งมีการสำรองอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ต่างๆ ไว้ ทั้งนี้ มีความมั่นใจในการทำงานของบุคลากรในการสอบสวนควบคุมโรค แต่ขอให้เพิ่มเติมเรื่องของการช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนว่า เราไม่มีการปกปิดข้อมูล หากประชาชนมีข้อสงสัยพบคนลักลอบเข้ามา สามารถแจ้งได้ที่หน่วยงานสาธารณสุข
************************************** 10 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37530 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน เผยแรงงานไทยไปทำงานไต้หวัน ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ของไต้หวัน | วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563
กรมการจัดหางาน เผยแรงงานไทยไปทำงานไต้หวัน ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ของไต้หวัน
อธิบดีกรมการจัดหางาน แจ้งเตือนคนหางานที่จะเดินทางไปทำงานประเทศไต้หวัน ต้องปฏิบัติตามประกาศมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ของไต้หวัน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว เริ่มใช้แล้ว 1 ธ.ค.นี้ พบไม่ใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะมีโทษปรับ
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ศูนย์ควบคุมโรคไต้หวัน ได้ประกาศมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เพื่อเสริมสร้างมาตรการการกักตัวเมื่อเข้าไต้หวัน ป้องกันการแพร่ระบาดในระดับชุมชน และเสริมสร้างมาตรการด้านการแพทย์ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาด
“ศูนย์ควบคุมโรคไต้หวันขอให้ผู้ที่เดินทางเข้าไต้หวันทุกคน ตลอดจนผู้โดยสารต่อเครื่องบินที่ไต้หวัน ปฏิบัติตามมาตรการดังนี้
1. มาตรการกักตัวเมื่อเดินทางเข้าไต้หวัน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 - 28 กุมภาพันธ์ 2564 (ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศต้นทางของผู้เดินทาง) ผู้ที่เดินทางเข้าไต้หวันทุกคน (ไม่จำกัดสัญชาติ) รวมถึงผู้โดยสารต่อเครื่องบินที่ไต้หวัน และผู้ที่เดินทางเข้าไต้หวัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ทำงาน ปฏิบัติหน้าที่ทางการทูต ประกอบธุรกิจ หรืออื่นๆ ต้องแสดงใบรับรองผลตรวจโควิดที่แสดงผลเป็นลบ (COVID-19 RT-PCR) ซึ่งต้องออกใบรับรองแพทย์ภายใน 3 วันทำการ ก่อนขึ้นเครื่องบินเมื่อเดินทางเข้าไต้หวัน และหากพบให้ผลตรวจที่ไม่ถูกต้อง ผลตรวจปลอม หรือผู้เดินทางปฏิเสธ หลีกเลี่ยง หรือขัดขวางมาตรการในการกักตัว จะมีโทษปรับเป็นเงินจำนวน 10,000 - 150,000 เหรียญไต้หวัน และอาจถูกดำเนินคดีข้อหาปลอมแปลงผลการตรวจ โดยใบรับรองผลการตรวจโรคฯ ต้องออกโดยสถานพยาบาลที่รัฐบาลของประเทศผู้เดินทางให้การรับรองเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน หรือทั้งสองภาษา (อังกฤษ-จีน) ซึ่งต้องออกใบรับรองแพทย์ภายใน 3 วันทำการก่อนเดินทาง
2. มาตรการป้องกันในระดับชุมชน ประชาชนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ 8 ประเภทตามที่กำหนด ได้แก่ สถานพยาบาล ขนส่งสาธารณะ ร้านอาหาร สถานศึกษา สถานที่จัดนิทรรศการและกีฬา สถานบันเทิง ศาสนสถาน/สถานที่สักการะ สถานที่ทำงานและการประกอบธุรกิจ โดยตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ มีโทษปรับเป็นเงินจำนวน 3,000 - 15,000 เหรียญไต้หวัน ตามกฎหมาย
การควบคุมโรคระบาดที่รัฐบาลท้องถิ่นกำหนด กรณีที่ประชาชนต้องการรับประทานอาหารในที่สาธารณะนอกเหนือจากสถานที่กำหนดข้างต้น สามารถทำได้โดยเว้นระยะห่างทางสังคม หรือจัดให้มีอุปกรณ์กั้นระยะห่าง
สำหรับสถานที่ในร่ม สามารถถอดหน้ากากอนามัยชั่วคราวระหว่างรับประทานอาหาร และสำหรับสถานที่กลางแจ้ง หรือการจัดกิจกรรมนอกสถานที่ที่มีคนจำนวนมากต้องมีหน่วยงานบริหารจัดการและควบคุม
การชุมนุมตามจำนวนของคนในสถานที่นั้น
ในส่วนมาตรการตอบสนองด้านสาธารณสุข โดยศูนย์ควบคุมโรคฯ ของไต้หวันเอง จะมุ่งเน้นเสริมสร้างระบบการรายงานผู้ติดเชื้อและขั้นตอนการเก็บตัวอย่างในการตรวจเชื้อ โดยเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกันโรคตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมีมาตรการหลัก 4 ประการ ดังนี้ 1. สถานพยาบาลต้องปฏิบัติหน้าที่รายงานโรคระบาดตามกฎหมาย 2. จัดทำตัวชี้วัดในการรายงานและเก็บตัวอย่างการตรวจหาเชื้อไวรัสด้วยการเสริมสร้างการคัดกรองผู้ป่วยด้วยโรคปอดอักเสบที่แผนกผู้ป่วยนอก และแผนกฉุกเฉิน ของสถานพยาบาลในชุมชน 3. จัดทำตัวชี้วัดเสริมสร้างการคัดกรองผู้ป่วยใน 4. จัดทำตัวชี้วัดเสริมสร้างการติดตามดูแลสุขภาพของบุคลากรทางการแพทย์ จึงขอให้คนไทยที่เดินทางไปทำงานที่ไต้หวันปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
นายสุชาติฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2563 ตั้งแต่เดือนมกราคม - ตุลาคม 2563 กรมการจัดหางานมีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในไต้หวันแล้ว ทั้งสิ้น 10,470 คน แบ่งเป็นบริษัทจัดหางานจัดส่ง จำนวน 7,404 คน กรมการจัดหางานจัดส่ง จำนวน 62 คน เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง จำนวน 26 คน นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทำงาน จำนวน 32 คน นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างไปฝึกงาน จำนวน 64 คน และ Re-entry จำนวน 2,882 คน
สำหรับคนงานไทยที่ต้องการเดินทางไปทำงานในไต้หวัน นอกจากได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และได้ค่าจ้างที่เหมาะสมแล้ว ยังต้องปลอดภัยจากโรคโควิด-19 ด้วย ซึ่งเป็นแนวทางที่กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานวางไว้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนงานไทย ทั้งนี้ คนหางานที่ต้องการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37531 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผู้ติดเชื้อบุคลากรการแพทย์รายใหม่ เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงในระบบเฝ้าระวังและกักกันโรค | วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563
สธ.เผยผู้ติดเชื้อบุคลากรการแพทย์รายใหม่ เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงในระบบเฝ้าระวังและกักกันโรค
สธ.เผยผู้ติดเชื้อบุคลากรการแพทย์รายใหม่ เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงในระบบเฝ้าระวังและกักกันโรค
กระทรวงสาธารณสุข เผยกรณีบุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติงานใน ASQ ติดเชื้อเพิ่ม 1 ราย เป็นเพื่อนร่วมงานของผู้ป่วยยืนยัน กลุ่มเสี่ยงสูงที่อยู่ในระบบเฝ้าระวังและกักกันโรค ผลตรวจผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำในรพ.เอกชนที่ทำงานทั้งหมด 851 ราย ผลออกแล้ว 745 รายไม่พบเชื้อ ส่วนสถานการณ์โรคโควิด 19 กรณีจ.ท่าขี้เหล็กควบคุมได้ จำนวนผู้ติดเชื้อรวม 46 ราย
วันนี้ (10 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด 19 (ศบค.) พร้อมด้วย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ความคืบหน้ากรณี จ.เชียงราย และกรณีพบผู้ติดเชื้อในประเทศ
นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด 19 (ศบค.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย วันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 18 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ากักตัวในสถานกักกันทุกประเภท 17 ราย และพบผู้ติดเชื้อในประเทศ 1 ราย เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงของผู้ป่วยยืนยัน รักษาหายกลับบ้านเพิ่ม 8 ราย ผู้ป่วยสะสม 4,169 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,462 ราย มาจากต่างประเทศ 1,707 ราย เข้าสถานที่กักกันรวม 1,181 ราย มีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านแล้ว 3,888 ราย เสียชีวิต 60 ราย ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 221 ราย
ส่วนสถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรวม 69.2 ล้านราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6.4 แสนราย เสียชีวิตเพิ่ม 1.2 หมื่นราย รวมผู้เสียชีวิตสะสม 1.57 ล้านราย แนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย และฝรั่งเศส ส่วนประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมามีผู้ป่วยรายใหม่ 1,427 ราย มาเลเซียมีผู้ป่วยใหม่ 959 ราย สำหรับการนำคนไทยตกค้างกลับเข้าประเทศ วันที่ 10 ธันวาคมจำนวน 846 ราย วันที่ 11 ธันวาคม 710 ราย จนถึงปัจจุบันมีผู้เดินทางเข้าประเทศ เข้ารับการกักตัวในสถานที่กักกันของรัฐ รวม 172,952 ราย ตรวจพบติดเชื้อ 1,181 ราย
สำหรับกรณีการติดเชื้อในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ขณะนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน และโรงแรมที่ร่วมโครงการ ได้มีการหารือและนำไปเป็นบทเรียน เรียนรู้ร่วมกันเพื่อพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการปฏิบัติตามมาตรฐานการป้องกันส่วนบุคคล ทั้งขณะดูแลผู้ป่วยและเมื่อออกจากสถานที่ปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ ขอความร่วมมืออย่าแชร์ต่อข่าวลือตามโซเชียลมีเดีย ทั้งคลิปเสียง และข้อความต่าง ๆ ที่ไม่มีแหล่งที่มา เช่น เชิญชวนให้กักตุนหน้ากากอนามัย การกักกันตัว 14 วันในพื้นที่ที่มีการระบาด ขอให้รับฟังข้อมูลจาก ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะแถลงข่าวทุกวัน เวลา 11.30 น. ทั้งนี้ ขอให้ประชาชน “ตื่นตัว อย่าตื่นตูม ตระหนัก อย่าตระหนก” ตื่นตัวและตระหนักในการป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะการใช้หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพื่อให้สถานการณ์กลับมาสู่การควบคุม
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรณีผู้ป่วยโควิด 19 จากจ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา จำนวนผู้ป่วย 46 รายเท่าเดิม แสดงให้เห็นว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ที่สำคัญคือในจำนวนนี้ 27 รายเป็นการนำผู้เดินทางเข้าระบบกักกันโรค ทำให้ตรวจพบในสถานกักกันโรค และไม่เกิดการแพร่กระจายเชื้อ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดได้ดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้น ตรวจตราการลักลอบเข้าเมือง และประสานไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน หากมีคนไทยตกค้างจะนำกลับมาเข้าสู่ระบบกักกันโรค โดยที่จังหวัดเชียงรายซึ่งมีผู้อยู่ในสถานกักกันโรคจำนวนมาก วันนี้อาจจะมีรายงานเพิ่มเติมอีก 3 รายในสถานกักกันโรค ทางจังหวัดเชียงรายจะแถลงข่าวต่อไป ถือเป็นเรื่องดีทำให้ควบคุมโรคได้ ส่วนจังหวัดอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ พะเยา กรุงเทพ พิจิตร ราชบุรี สิงห์บุรี เมื่อไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มครบ 14 วันก็จะถือว่าเข้าสู่ภาวะปกติ
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ความเสี่ยงของการติดเชื้อขึ้นอยู่กับการสัมผัสใกล้ชิดในสถานที่และเวลาเดียวกันกับผู้ป่วยโดยไม่สวมหน้ากาก ได้แก่ คนในครอบครัว อยู่บ้านเดียวกัน โดยคู่สมรสมีโอกาสติดเชื้อร้อยละ 40 - 50 บุตรร้อยละ 10 – 20, ผู้ที่ยืนพูดคุยกับผู้ป่วยระยะ 1 เมตรเกิน 5 นาที, ถูกผู้ป่วยจามใส่ และผู้ที่อยู่ในที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวกอากาศ เช่นในรถตู้ หรือห้องที่ปิดทึบเกิน 5 นาที เน้นย้ำมาตรการที่ดีที่สุดที่ประชาชนต้องช่วยกันคือการป้องกันตัวเอง ใส่หน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่สาธารณะให้มากที่สุด สำหรับกรณีผู้ปกครองพบผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและมีการปิดโรงเรียนนั้น ขอชี้แจงว่า การพบกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงถือว่าไม่มีความเสี่ยง จึงไม่จำเป็นต้องปิดโรงเรียน กรณีที่จะปิดโรงเรียนหรือสถานที่ต่างๆ จะปิดเมื่อพบผู้ติดเชื้อเท่านั้น และปิดเพื่อทำความสะอาดเท่านั้น
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า สำหรับผู้ติดเชื้อในประเทศรายใหม่ 1 ราย เพศหญิง อายุ 29 ปี เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 31 รายในระบบเฝ้าระวังของผู้ป่วยกลุ่มเดิม 5 รายที่รายงานก่อนหน้า โดยการตรวจครั้งแรกวันที่ 5 ธันวาคม 2563 ผลเป็นลบ ตรวจซ้ำครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ตรวจพบเชื้อ มีอาการ ไข้ เจ็บคอ คัดจมูก ปวดกล้ามเนื้อ โดยเป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 6 มีประวัติรับประทานอาหารร่วมกับรายที่ 1 โดยขณะนี้ โรงพยาบาลเอกชนคู่สัญญาปฏิบัติงาน ASQ ดังกล่าว ได้ตรวจเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 851 คน เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ผลออกแล้ว 745 คนเป็นลบทั้งหมด อยู่ระหว่างรอผลตรวจอีก 106 คน สำหรับเพื่อนร่วมหอพัก ผู้ที่อยู่ในห้องสัมภาษณ์งานที่โรงพยาบาล และสมาชิกในครอบครัวรวม 20 คน ผลตรวจไม่พบเชื้อ ส่วนเพื่อนร่วมงานและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดในสถานที่ทำงานสถานกักกันทางเลือกทั้ง 2 แห่ง ตรวจหาเชื้อ 34 คน ผลไม่พบเชื้อเช่นเดียวกัน
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า จากไทม์ไลน์จะเห็นได้ว่าทั้ง 6 รายอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทำงานในสถานที่เดียวกัน และมีการสังสรรค์กันนอกเวลางาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาจจะไม่ได้มีการป้องกันตัว จึงขอแนะนำผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 ขอให้สังเกตอาการตนเองและระมัดระวังการป้องกันการรับเชื้อและการแพร่เชื้ออยู่ตลอดเวลา ทั้งในเวลางานและนอกเวลางาน ที่สำคัญต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ หากมีอาการป่วยต้องรีบรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อทันที
สำหรับข้อกังวลเรื่องผู้ติดเชื้อมีประวัติเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะนั้น ขอให้อย่าตระหนก เนื่องจากวันที่ผู้ติดเชื้อไปใช้บริการ ยังไม่มีอาการป่วย และสวมหน้ากากตลอดเวลา ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำมาก หากสงสัยว่าอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว สามารถรายงานตัวหรือรับคำปรึกษาได้ที่โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขใกล้บ้านได้ หรือโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 และขอให้ยังคงสวมหน้ากาก เว้นระยะห่างและล้างมือบ่อยๆ ต่อจนครบ 14 วัน แต่หากมีอาการทางเดินหายใจ ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส สามารถเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้านได้ทันที
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37534 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37535 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ ห่วงลูกจ้างวิงสแปนกว่า 2,500 ชีวิตถูกเลิกจ้าง สั่ง กสร.เร่งช่วยเหลือคุ้มครองตามสิทธิโดยด่วน | วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563
‘จับกัง1’ ห่วงลูกจ้างวิงสแปนกว่า 2,500 ชีวิตถูกเลิกจ้าง สั่ง กสร.เร่งช่วยเหลือคุ้มครองตามสิทธิโดยด่วน
‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน ห่วงใยลูกจ้างบริษัท วิงสแปน เซอวิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการด้านบริหารงานบุคคลให้กับบริษัทในเครือการบินไทย จำนวน 2,598 รายที่ถูกเลิกจ้างอย่างกะทันหัน สั่ง กสร.เร่งช่วยเหลือคุ้มครองตามสิทธิของกฎหมายเป็นการเร่งด่วน
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่ลูกจ้างบริษัท วิงสแปน เซอวิสเซส จำกัด ถูกเลิกจ้างกะทันหันว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองดูแลสิทธิประโยชน์ของแรงงานทุกกลุ่มเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมตามกฎหมาย ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานอย่างต่อเนื่อง และมีความห่วงใยลูกจ้างบริษัท วิงสแปน จำนวน 2,598 รายที่ถูกเลิกจ้างอย่างกะทันหัน จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานลงพื้นที่เข้าไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือโดยเร็ว ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า กรณีบริษัท วิงสแปน เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการด้านบริหารงานบุคคลให้กับบริษัทในเครือการบินไทย ได้ประกาศเลิกจ้างลูกจ้าง จำนวน 2,598 ราย โดยลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 เป็นต้นมา ล่าสุดกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงานดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ พร้อมชี้แจง ข้อกฎหมายและสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมายให้ลูกจ้างทราบ เนื่องจากกรณีดังกล่าวส่งผลกระทบกับลูกจ้างเป็นจำนวนมาก สำหรับการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แล้ว จำนวน 1,072 คน เป็นเงินจำนวน 127,999,622.11 บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดล้านเก้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันหกร้อยยี่สิบสองบาทสิบเอ็ดสตางค์) สำหรับลูกจ้างอีก 1,526 ราย อยู่ระหว่างการนัดหมายให้เข้ามารับเงินกับนายจ้าง และอีกส่วนหนึ่งอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริงและพิจารณาออกคำสั่งให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย
นายสุชาติ ยังกล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานยังได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานประกันสังคม สำนักแรงงานจังหวัด สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด หน่วยงานสังกัดกระทรวมมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อช่วยเหลือลูกจัางตามอำนาจหน้าที่ ทั้งในเรื่องของการหาตำแหน่งานว่าง การดูแลสิทธิผู้ประกับตนเพื่อดำเนินการจ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงาน การพัฒนา
ทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความดือดร้อนด้านอาชีพ การช่วยเหลือเงินเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน รวมถึงการจ้างานตามโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ อีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37533 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นายกฯ" มอบคำขวัญวันเด็ก ปี 64 "เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม" | วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563
"นายกฯ" มอบคำขวัญวันเด็ก ปี 64 "เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม"
"นายกฯ" มอบคำขวัญวันเด็ก ปี 64 "เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม" เน้นการปรับตัว มีความสามัคคี รู้คุณค่าความเป็นไทย
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มอบคำขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2564 "เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม" เนื่องด้วยตลอดปี 2563 คนไทยตลอดจนทุกประเทศทั่วโลก ต่างเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามแนวทางของชีวิตวิถีใหม่ หรือ new normal ดังนั้น เด็กไทยในยุคปัจจุบัน จึงถือเป็นเด็กไทยวิถีใหม่ ที่ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ตลอดจนการศึกษาเล่าเรียนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ขณะเดียวกัน ปัจจุบันเป็นยุคแห่งการเรียนรู้แบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งเด็กไทยจะต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีเพื่อที่จะเผชิญหน้า เรียนรู้ และรับมือกับสิ่งต่างๆได้
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้นำนโยบายรวมไทยสร้างชาติมาไว้ในคำขวัญวันเด็กปี 2564 เพื่อสื่อความหมายว่า การรวมพลังของทุกภาคส่วนเพื่อเดินหน้าประเทศไทยนั้น เด็กและเยาวชนยังถือเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้เดินไปข้างหน้า จึงขอให้ตระหนักถึงความรัก ความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ โดยความแตกต่าง แต่ไม่แตกแยกนั้น จะก่อให้เกิดการพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว และยังจะเป็นพลังที่ช่วยให้ผ่านพ้นจากวิกฤตหรือภัยคุกคามต่างๆได้ด้วย ยิ่งในสถานการณ์วันนี้ที่ประเทศไทยและทั่วโลกเผชิญกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ความสามัคคีของคนในชาติ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตไปได้
"สุดท้ายนายกรัฐมนตรี ต้องการปลูกฝังความรักในสถาบันหลักของชาติ ไม่ว่าจะเป็น ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และคาดหวังให้เด็กในวันนี้เป็นคนดีของสังคม มีคุณธรรมจริยธรรม โดยเห็นว่าการพัฒนาเด็กไทยในยุคสมัยใหม่ นอกจากจะมุ่งเน้นที่การพัฒนาขีดความสามารถแล้ว ยังควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านจิตใจ อารมณ์ พร้อมปลุกฝังในเกิดการเรียนรู้และไม่ลืมรากเหง้าของประวัติศาสตร์ ความเป็นไทย สิ่งที่บรรพบุรุษ ได้สร้างมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งล้วนสั่งสมให้เราเป็นเราในวันนี้ และเป็นแนวทางพัฒนาต่อยอดไปอีกในอนาคตข้างหน้า"
....
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37529 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ส่งทีมบุกแพร่ ปูทางสร้างแรงงานดิจิทัล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก | วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2563
นฤมล ส่งทีมบุกแพร่ ปูทางสร้างแรงงานดิจิทัล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
รมช.แรงงาน มอบหมายให้คณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ลุยแพร่ หารือร่วมรองผู้ว่าฯ เดินหน้าสร้างแรงงานดิจิทัล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนพัฒนาประเทศ
วันที่ 26 ธันวาคม 2563ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเผยว่า มอบหมายให้นายพิรัส ศิริขวัญชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ด้านยุทธศาสตร์ และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ตนเองรับผิดชอบในการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เพื่อร่วมหารือแนวทางการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนร่วมกับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดแพร่ โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ร่วมหารือด้วย
นายพิรัส กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้มีโอกาสเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้การย้อมผ้าหม้อห้อม “ป้าเหงี่ยม” โครงการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม่สักจังหวัดแพร่ ต.ร่องกาศ อ.สูงเม่น และโครงการต้นแบบหมู่บ้านนาคูหา ต.สวนเขื่อน อ.เมือง ร่วมถึงได้ร่วมประชุมหารือแนวทางการพัฒนาแรงงานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดแพร่ ณ ห้องประชุมสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานแพร่ (สนพ.แพร่) ต.ร่องกาศ อ.สูงเม่น จ.แพร่ เพื่อรับฟังความต้องการช่วยเหลือในด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ รมช.แรงงาน โดยเฉพาะการพัฒนาแรงงานให้มีความรู้ในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าผ่านตลาดออนไลน์ การออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น เพื่อสร้างความน่าสนใจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เกิดการซื้อขายที่มากขึ้น นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นต่อไป
นายพิรัส กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการเยี่ยมชมโครงการต้นแบบหมูบ้านนาคูหา ซึ่งเป็นหมู่บ้านในโครงการส่งเสริมธุรกิจสินค้าเด่นของกลุ่มจังหวัดแพร่ เป็นโครงการภายใต้แนวทางการสร้างความเข้มแข็งความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ ตั้งอยู่ยอดดอยสูงใน ต.สวนเขื่อน อ.เมือง ซึ่งชาวบ้านในชุมชนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความเป็นธรรมชาติ เช่น สัมผัสชีวิตค้างคาวในถ้ำห้วยต้นผึ้ง การเก็บเตาบนภูเขาหนึ่งเดียวในประเทศไทย การเดินป่าขึ้นผ้าสิงห์ชมวิวหมู่บ้าน การเยี่ยมสมสวนห้อม สาธิตการสกัดสีจากต้นห้อมธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ต่อยอดเพื่อนำไปสู่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดย สนพ.แพร่ จะจัดฝึกอมรมการเพิ่มมูลค่าสินค้าให้แก่แรงงานในชุมชน รวมถึงการฝึกอบรมด้านดิจิทัลด้วย อาทิ การขายสินค้าออนไลน์
“การผลักดันแนวนโยบายต้องบูรณาการกับหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่อยู่ในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในการพัฒนาแรงงาน ด้วยการจัดหาหลักสูตรเพื่อพัฒนาแรงงานให้ทันต่อเทคโนโลยี เพื่อประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนในการสร้างรายได้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สู่การขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศอย่างนั่งยืนต่อไป” นายพิรัส กล่าวตอนท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37930 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ให้กำลังใจแม่ค้า-พ่อค้า ตลาดนวลจันทร์ สร้างความมั่นใจ ไร้เชื้อโควิด-19 | วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2563
นฤมล ให้กำลังใจแม่ค้า-พ่อค้า ตลาดนวลจันทร์ สร้างความมั่นใจ ไร้เชื้อโควิด-19
- -
วันที่ 26 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมกับ นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กทม.เขตบึงกุ่ม-คันนายาว และทีมงาน ลงพื้นที่ให้กำลังใจ พ่อค้า-แม่ค้า ในตลาดนวลจันทร์ 38 เพิ่มความเชื่อมันแก่ประชาชน สามารถจับจ่ายใช้สอยในตลาดได้ตามปกติ
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า จากกระแสข่าวเมื่อต้นสัปดาห์ พบแม่ค้าตลาดนัดนวลจันทร์ติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล ไม่มาจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดนวลจันทร์ ซึ่งสำนักงานเขตบึงกุ่มได้เข้ามาทำความสะอาดตลาดนัดนวลจันทร์ทันทีหลังทราบข่าวว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 พร้อมฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอย ตามมาตรการป้องกันและรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาด และจากผลการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.63 ของกองควบคุมโรค สำนักอนามัย ณ ตลาดนวลจันทร์ 38 เขตบึงกุ่ม แจ้งว่าไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากกลุ่มผู้ค้าและผู้ประกอบการ จำนวน 58 ราย ในวันนี้ตนเองและทีมงาน จึงมาให้กำลังใจพ่อค้า-แม่ค้าในตลาด เพื่อเพิ่มความมั่นใจแก่พี่น้องประชาชนที่เคยมาซื้อข้าวของในตลาดแห่งนี้ด้วย ว่าสามารถเดินทางจับจ่าย-ซื้อของได้ตามปกติ
รมช.แรงงาน กล่าวต่อไปว่า ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคยืนยันแล้วว่าเชื้อไวรัส รวมถึงไวรัสโควิด-19 หากอยู่ในอากาศ เป็นน้ำมูก เสมหะ น้ำลาย น้ำตา อยู่ได้เพียง 5 นาที หากอยู่บนพื้น โต๊ะ ลูกบิดประตู อยู่ได้เพียง 7 – 8 ชั่วโมง จากข้อมูลดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำความสะอาดแล้ว ตลาดแห่งนี้จึงปลอดภัย อย่างไรก็ตามไวรัสโควิด-19 จะอยู่กับเราไปอีกนาน เราจึงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ให้เป็นปกติ หากมีความจำเป็นต้องออกจากบ้านไปช้อปปิ้งหรือจับจ่ายใช้สอย เราต้องใส่หน้ากาก ต้องเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และเช็ดมือด้วยแอลกอฮอล์ บางกิจกรรมก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบผ่านระบบออนไลน์แทนได้ ซึ่งรูปแบบวิถีชีวิตใหม่ จะค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันทีละเล็กทีละน้อย และก่อให้เกิดความเคยชิน แล้วเราก็จะสามารถอยู่ได้อย่างปกติสุข
“เป็นกำลังใจให้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในตลาด และประชาชนในเขตบึงกุ่มและพี่น้องประชาชนทุกคน ขอย้ำ ! ว่า ออกนอกบ้านอย่าลืมสวมหน้ากากทุกครั้งและเช็ดมือด้วยแอลกอฮอล์บ่อยๆ เพื่อป้องกันตนเอง และใช้ชีวิตให้เป็นปกติ โดยเฉพาะวันนี้มาที่ตลาดนวลจันทร์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ไร้โควิด-19” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37935 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ออกประกาศขอความร่วมมือนายจ้าง ให้ลูกจ้างหยุดงานในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ | วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2563
กสร. ออกประกาศขอความร่วมมือนายจ้าง ให้ลูกจ้างหยุดงานในช่วงเทศกาลวันปีใหม่
กสร.ออกประกาศ เรื่อง ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างหยุดงานในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ เพื่อให้ลูกจ้างได้หยุดต่อเนื่องเดินทางไปเยี่ยมครอบครัว และร่วมกิจกรรมตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา โดยขอให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อโรค COVID 19
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ด้วยห้วงเวลาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2564 ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2563 และวันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ซึ่งสถานประกอบกิจการส่วนใหญ่ประกาศให้เป็นวันหยุดตามประเพณี เพื่อให้ลูกจ้างได้หยุดต่อเนื่อง และเป็นโอกาสอันดีที่ลูกจ้างจะได้เดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัว ณ ภูมิลำเนาของตัวเองและร่วมกิจกรรมตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา กรมจึงออกประกาศขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างหยุดงานในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ โดยมีสาระสำคัญของประกาศ ดังนี้
1. ให้นายจ้างพิจารณาจัดให้วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2563 และวันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 เป็นวันหยุดตามประเพณีในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ให้แก่ลูกจ้าง หากวันหยุดดังกล่าวตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ให้เลื่อนวันหยุดตามประเพณีไปหยุดในวันทำงานถัดไป ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
2. สำหรับงานขนส่งทางบก นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะทำงานไม่เกิน วันละ 8 ชั่วโมง หากจะให้ทำงานล่วงเวลาต้องไม่เกิน วันละ 2 ชั่วโมง โดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากลูกจ้าง และในวันทำงานถัดไป ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างเริ่มต้นทำงานก่อนครบระยะเวลา 10 ชั่วโมง หลังสิ้นสุดการทำงานในวันทำงานที่ล่วงมาแล้ว
3. ในการเดินทางกลับภูมิลำเนา ขอให้ลูกจ้างและนายจ้างใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง และขอให้วางแผนการเดินทางไปและกลับเพื่อความสะดวก และปลอดภัย
4. ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื่อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยไม่จำเป็น เพื่อป้องกันผลกระทบจากการเดินทาง อันเนื่องมาจากการรวมตัวของบุคคลจำนวนมาก และอาจส่งผลให้เกิดความยุ่งยากในการสอบสวนโรค และควบคุมการแพร่ระบาดของโรค
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37931 |
รัฐบาลไทย- | วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37944 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน แนะ ประชาชนใช้บริการช่องทางออนไลน์ปลอดโควิด-19 | วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2563
กรมการจัดหางาน แนะ ประชาชนใช้บริการช่องทางออนไลน์ปลอดโควิด-19
อธิบดีกรมการจัดหางาน เผยมาตรการลดเสี่ยงแพร่เชื้อโควิด-19 รับลูกศบค. แนะนำประชาชนเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ แทนการติดต่อราชการ ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด/สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น มีนโยบายเข้มงวด ให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานปฏิบัติตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ซึ่งในส่วนของกรมการจัดหางานได้สั่งการให้สำนักงานจัดหางานจังหวัด และสำนักจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่นายจ้าง/สถานประกอบการ คนหางานและประชาชนทั่วไป ให้ตระหนักถึงมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ทราบวิธีป้องกันตนเองจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นายสุชาติฯ กล่าวว่า “ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้บางจังหวัดต้องมีมาตรการที่เข้มงวดในการจำกัดการเดินทางไปสถานที่สาธารณะต่าง ๆ รวมทั้งสถานที่ราชการต้องหยุดให้บริการ ทำให้ประชาชนต้องปรับตัว และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อจากผู้อื่น ซึ่งมาตรการที่สำคัญคือ การงดเว้นไปในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น และการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) สอดรับกับนโยบายรัฐบาล และมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ในการป้องกันและแก้ปัญหาโรคโควิด-19 กรมการจัดหางานจึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ต้องการติดต่อขอรับบริการตามภารกิจต่าง ๆ สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง โดยใช้ช่องทางออนไลน์ (E – Services) ดังนี้
1. ต้องการหางานทำ หรือนายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการหาคนทำงาน ใช้บริการได้ที่ smartjob.doe.go.th หรือ ไทยมีงานทำ.com
2. ระบบขึ้นทะเบียน/รายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงาน ที่ empui.doe.go.th
3. ต้องการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน (Co-Payment) ที่ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com
4. ต้องการลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไปทำงานต่างประเทศ แจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง /แจ้งการเดินทางกลับไปทำงานต่างประเทศ ได้ที่ toea.doe.go.th
5. ระบบแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว ทาง Application ชื่อ e-inform ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ คนหางานและประชาชน ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางมาติดต่อราชการ ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 ขอความร่วมมือให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาที่ใช้บริการ รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการที่เจ้าหน้าที่แนะนำอย่างเคร่งครัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37934 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุชา" โชว์กินกุ้ง หมึก เรียกความมั่นใจคนไทยบริโภคอาหารทะเลได้ ไม่ติดโควิด 19 เตรียมนำอาหารทะเลปรุงสุกให้ ครม. ทานอังคารนี้ ย้ำมั่นใจคนไทยไม่มีวันแพ้โควิด 19 แน่นอน | วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2563
"อนุชา" โชว์กินกุ้ง หมึก เรียกความมั่นใจคนไทยบริโภคอาหารทะเลได้ ไม่ติดโควิด 19 เตรียมนำอาหารทะเลปรุงสุกให้ ครม. ทานอังคารนี้ ย้ำมั่นใจคนไทยไม่มีวันแพ้โควิด 19 แน่นอน
"อนุชา" โชว์กินกุ้ง หมึก เรียกความมั่นใจคนไทยบริโภคอาหารทะเลได้ ไม่ติดโควิด 19 เตรียมนำอาหารทะเลปรุงสุกให้ ครม. ทานอังคารนี้ ย้ำมั่นใจคนไทยไม่มีวันแพ้โควิด 19 แน่นอน
วันนี้ (26 ธันวาคม 2563) เวลา 11.00 น. ณ ร้านอาหารร่มไม้ริมนา อ.สามพราน จ.นครปฐม พร้อมคณะประกอบด้วย นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และนายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค นำคณะลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 แก่สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้ประกอบการประมงเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง โดยมี นายอภินันท์ เผือกผ่อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และคณะผู้บริหารต้อนรับ
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขอให้ประชาชนมั่นใจในการบริโภคกุ้งและอาหารทะเล เพราะวิฉัยแล้วไม่พบว่าจะเป็นการทำให้ติดเชื้อโควิด 19 แต่การติดเชื้อโควิด 19 มาจากคนที่ไปซื้ออาการทะเลจากมหาชัย จ.สมุทรสาคร ซึ่งหากประชาชนไม่รับประทานอาหารทะเล อาจส่งผลต่อผู้ประกอบการ พ่อค้า แม่ค้า จึงอยากให้คนไทยช่วยกันคนละไม้คนละมือดูแลซึ่งกันละกันในภาวะวิกฤต โดยส่วนตัวมั่นใจคนไทยไม่มีวันแพ้โควิดแน่นอน และคนไทยต้องชนะด้วยความรัก ความสามัคคี จากการรวมใจของคนไทยทั้งชาติ จากนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีโชว์การย่างกุ้ง และหมึกที่ส่งตรงมาจากจังหวัดสมุทรสาคร ก่อนจะร่วมรับประทานอาหารทะเล ต่อหน้าสื่อมวลชน เพื่อเป็นการยืนยันว่าอาหารทะเลทานได้
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้พุทธศาสนิกชน ถวายอาหารอาหารทะเลปรุงสุกให้กับพระสงฆ์ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการ โอกาสนี้ ได้นิมนต์ พระเทพศาสนาภิบาล รองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เข้าอาวาสวัดไร่ขิง ฉันเพล อาหารทะเล ที่ร้านร่มไม้ ริมนา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าอาหารทะเลปลอดภัยแน่นอน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีเจ้าของบ่อกุ้ง เครียดจัด จนฆ่าตัวตายที่ จ.สระแก้วว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และต้องการดูแลประชาชนทุกกลุ่มให้เป็นอย่างดี รวมถึงเตรียมประสานกระทรวงพาณิชย์ ในการส่งเสริมขยายตลาดขายกุ้ง เพื่อระบายสู่ผู้บริโภคอย่างทั่วถึง พร้อมเตรียมหารือนายกรัฐมนตรีทำสตรีทซีฟู้ด คล้ายตลาดคลองผดุงกรุงเกษมข้างทำเนียบรัฐบาล พร้อมรับข้อเสนอจากผู้ประกอบการที่เสนอให้จังหวัด และท้องถิ่นช่วยเปิดตลาดกระจายสินค้า ลดปัญหาสินค้าทะเลขายไม่ได้ โดยจะเริ่มนำร่องที่ตลาดหน้าศาลาว่าการจังหวัดนครปฐม ตั้งแต่ 28 ธันวาคม 63 - 4 มกราคม 64 นี้
---------------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37933 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. แจง เพิ่มศูนย์ มท. ในศบค. คุมเข้มการแพร่ระบาด พร้อมห้ามการชุมนุมทุกพื้นที่ ลดความเสี่ยงในการแพร่/รับเชื้อไวรัสโควิด 19 | วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2563
โฆษก ศบค. แจง เพิ่มศูนย์ มท. ในศบค. คุมเข้มการแพร่ระบาด พร้อมห้ามการชุมนุมทุกพื้นที่ ลดความเสี่ยงในการแพร่/รับเชื้อไวรัสโควิด 19
โฆษก ศบค. แจง เพิ่มศูนย์ มท. ในศบค. คุมเข้มการแพร่ระบาด พร้อมห้ามการชุมนุมทุกพื้นที่ ลดความเสี่ยงในการแพร่/รับเชื้อไวรัสโควิด 19
วันนี้(26ธ.ค. 63)เวลา11.30น.ณศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.)โถงกลางตึกสันติไมตรีทำเนียบรัฐบาลนายแพทย์ทวีศิลป์วิษณุโยธินโฆษกศบค.แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ประจำวันดังนี้
โฆษกศบค.รายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19ในไทยพบผู้ป่วยรายใหม่110รายเป็นการติดเชื้อในประเทศ64รายเป็นผู้ติดเชื้อโดยการตรวจเชิงรุกในกลุ่มแรงงานต่างด้าว30รายและเชื่อมโยงกับกรณีจังหวัดสมุทรสาครประมาณ60รายโดยยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนอีก4รายมีผู้ที่อยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้16รายทำให้จำนวนผู้ป่วยสะสมในประเทศ6,020รายแบ่งออกเป็นการติดเชื้อในประเทศ4,061รายและเป็นการติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างด้าว1,338รายหายป่วยแล้ว4,152รายเพิ่มขึ้น15รายและจำนวนผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ที่60รายโฆษกศบค.ยืนยันว่าตอนนี้มีผู้ติดเชื้อใน33จังหวัดข้อมูลในส่วนของจังหวัดนครนายกและจังหวัดระยองยังคงรอรายงานการติดเชื้ออยู่โดยจังหวัดตากและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อ
สถานการณ์ทั่วโลกตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่80,207,155คนเพิ่มขึ้นวันนี้472,443คนเสียชีวิตสะสม1,757,640คนโดยไทยอยู่ในลำดับที่144ของโลก
โฆษกศบค.กล่าวถึงประกาศพระราชกิจจานุเบกษาเรื่องการเพิ่มศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19กระทรวงมหาดไทยเพิ่มอีก1หน่วยงานทำให้มีหน่วยงานภายใต้การทำงานของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานจำนวน7หน่วยงานได้แก่(1)สำนักงานเลขาธิการ(2)ศปก.ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (3)ศปก.ฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 (4)ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19กระทรวงมหาดไทย(5)ศปก.มาตรการเดินทางเข้าออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศ(6)ศปก.แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงและ(7)ศปก.ด้านนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนานอกจากนี้ยังมีที่ปรึกษาต่างๆที่มีความสำคัญเช่นคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)เป็นต้นและได้มีข้อกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ควบคุมพื้นที่และสั่งการในระดับจังหวัดซึ่งสอดคล้องกับพรบ.โรคติดต่อในขณะเดียวกันข้อกำหนดทั่วประเทศยังห้ามไม่ให้มีการชุมนุมการทำกิจกรรมมั่วสุมในสถานที่แออัดเนื่องจากเป็นความเสี่ยงทำให้เกิดการแพร่กระจายของโรค
โอกาสนี้โฆษกศบค.ยังยืนยันกรณีการตรวจRapid Testของเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลที่พบผลเป็นบวกจำนวน6รายแต่เมื่อส่งตรวจSwabพบผลเป็นลบว่าการตรวจRapid test เป็นการตรวจที่ใช้การเจาะเลือดเพื่อดูภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่ใช่การตรวจหาเชื้อโควิด- 19โดยตรง(RTPCR) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าโดยตรวจภูมิคุ้มกันเบื้องต้นก่อนหากพบเป็นผลบวกจึงส่งตรวจหาเชื้อโดยตรงต่อไปทั้งนี้จำนวนละอองฝอยที่เกิดขึ้นจากการจามไอพูดคุยมีขนาดใหญ่กว่าละอองฝอยที่เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากการถ่ายเททางอากาศเช่นวัณโรคที่ต้องมีการควบคุมที่มากกว่ายืนยันการสวมหน้ากากผ้านั้นสามารถป้องกันโควิด-19ได้
..........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37932 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นักศึกษาจบใหม่ เฮ! กระทรวงแรงงาน ปลดล็อกเงื่อนไขร่วมโครงการ Co-Payment | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
นักศึกษาจบใหม่ เฮ! กระทรวงแรงงาน ปลดล็อกเงื่อนไขร่วมโครงการ Co-Payment
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดันสุดตัว ปรับเงื่อนไขโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) ขยายเวลาอุดหนุนค่าจ้างร้อยละ 50 ถึง 31 ธันวาคม 2564
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เห็นความสำคัญของปัญหาการว่างงานในนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และครม.ได้อนุมัติเห็นชอบการปรับแก้คุณสมบัติและเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) เพื่อให้นักศึกษาจบใหม่มีโอกาสได้งานทำ และนายจ้าง/สถานประกอบการเกิดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ดังนี้
1.คุณสมบัติผู้จบการศึกษาใหม่ เป็นมีสัญชาติไทย และอายุไม่เกิน 25 ปี หากอายุเกิน 25 ปี ต้องจบการศึกษา ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป โดยผู้จบการศึกษาใหม่ที่เคยทำงานและอยู่ในระบบประกันสังคม หากเป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าว สามารถร่วมโครงการฯได้
2.เงื่อนไขสำหรับนายจ้างในการจ่ายค่าจ้าง ให้เป็นไปตามข้อตกลงการจ้างงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง แต่ต้องไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัด ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง โดยรัฐบาลให้การอุดหนุนเงินเดือนค่าจ้างไม่เกินร้อยละ 50 ต่อคนต่อเดือน ตามค่าจ้างจริง ทั้งนี้ รัฐจะจ่ายเงินอุดหนุนเป็นไปตามวุฒิการศึกษา ได้แก่ ปริญญาตรี ไม่เกิน 7,500 บาท ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ไม่เกิน 5,750 บาท ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ไม่เกิน 4,700 บาท และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) ไม่เกิน 4,345 บาท
3.ปรับระยะเวลาการดำเนินโครงการ ให้ขยายระยะเวลาร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 (จากเดิม 1 ต.ค. 63 – 30 ก.ย. 64)
“สำหรับโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) มีวัตถุประสงค์ให้เกิดการจ้างงานใหม่เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาการว่างงานจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยภาครัฐอุดหนุนเงินเดือนครึ่งหนึ่งตามวุฒิการศึกษา จำนวน 260,000 อัตรา ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2564 ให้กับนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่มิใช่หน่วยงานภาครัฐ อยู่ในระบบประกันสังคม และต้องไม่มีการเลิกจ้างลูกจ้างเดิมเกินกว่าร้อยละ 15 นับจากวันที่ได้รับการอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ จนตลอดระยะเวลาที่ร่วมโครงการฯ เพื่อให้ภาคเอกชนเกิดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ และผู้จบการศึกษาใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานมีรายได้ ในการเลี้ยงดูตนเอง สามารถใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะส่งผลดีเป็นลูกโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน รับข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้อง ในการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) ให้เกิดการบรรจุงานเพิ่มขึ้น และแก้ปัญหาการว่างงานในผู้จบการศึกษาใหม่อย่างเร่งด่วนที่สุด
“ที่ผ่านมากรมการจัดหางาน ติดตามปัญหาและอุปสรรค ความคืบหน้าโครงการฯอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยได้เชิญนายจ้าง/สถานประกอบการ และเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางานผู้ปฏิบัติงานจริง มาร่วมประชุมรับฟังปัญหา/ข้อเสนอแนะ ทั้งนี้ข้อเสนอต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ทางกรมการจัดหางานได้รับไปดำเนินการทันที จนเกิดการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคในการร่วมโครงการฯ ในที่สุด ด้วยมุ่งหวังให้นักศึกษาจบใหม่ และนายจ้าง/สถานประกอบการ ได้รับประโยชน์สูงสุดและเสมอภาคกัน ตามภารกิจของกรมการจัดหางาน ในการส่งเสริมการมีงานทำให้กับคนไทยทุกกลุ่ม รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา ให้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารตลาดแรงงาน และสร้างแรงจูงใจให้นายจ้าง/สถานประกอบการเห็นถึงความสำคัญของการจ้างงานผู้จบศึกษาจบใหม่และรับเข้าทำงาน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com และหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการตรวจสอบความคืบหน้าการอนุมัติเข้าร่วมโครงการฯ ติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัด ที่ระบุเป็นสถานที่ทำงาน หรือผู้ที่เข้าร่วมโครงการแล้วต้องการความช่วยเหลือเรื่องการรับ-จ่ายเงินค่าจ้าง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38012 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อก. เผย MPI เดือน พ.ย. พลิกฟื้นครั้งแรกในรอบ 19 เดือนขยายตัวร้อยละ 0.35 ชี้จับตาดูสถานการณ์โควิด-19 | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
อก. เผย MPI เดือน พ.ย. พลิกฟื้นครั้งแรกในรอบ 19 เดือนขยายตัวร้อยละ 0.35 ชี้จับตาดูสถานการณ์โควิด-19
กระทรวงอุตสาหกรรม เผย ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพฤศจิกายน 2563 ขยายตัวร้อยละ 0.35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือนนับจากเหตุการณ์สงครามการค้าและการระบาดของไวรัสโควิด-19 สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น
กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผย ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพฤศจิกายน 2563 ขยายตัวร้อยละ 0.35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือนนับจากเหตุการณ์สงครามการค้าและการระบาดของไวรัสโควิด- 19 สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการควบคุมการระบาดได้ดีและมาตรการของภาครัฐที่กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งนี้ ยังคงจำเป็นต้องจับตาดูสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จัดทำดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพฤศจิกายน 2563 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.35 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือนนับจากเหตุการณ์สงครามการค้าและการระบาดของไวรัสโควิด- 19 สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์การผลิตภาคอุตสาหกรรมได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการควบคุมการระบาดได้ดีและมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะการขยายตัวเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.02 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน โดยการจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการระบาด ในขณะที่การส่งออกหดตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.87 นับเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือนเช่นกัน
“เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้น มีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นจากการที่หลายประเทศมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และได้รับข่าวดีจากความคืบหน้าของวัคซีนโควิด-19 ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการผลิตและการบริโภค อย่างไรก็ตาม การระบาดรอบใหม่ของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นต้องควบคุมสถานการณ์ไม่ให้การแผ่ระบาดขยายตัวออกไปเป็นวงกว้าง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและบรรยากาศในการจับจ่ายใช้สอยและการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศให้กลับมาอีกครั้ง” นายสุริยะ กล่าว
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศทยอยกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในประเทศอันเนื่องมาจากมาตรการของภาครัฐที่กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งส่งผลในแง่บวกสะท้อนได้จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญอย่างอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมที่ขยายตัวร้อยละ 4.95 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.02 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนพฤศจิกายนที่ขยายตัวเพิ่มจากระดับ 63.19 ในปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 64.80 ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายนกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคมที่ร้อยละ 1.77
นายทองชัย กล่าวต่อว่า อุตสาหกรรมหลักที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการในชีวิตวิถีใหม่ อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.00 และอุตสาหกรรมถุงมือยางขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.71 ในขณะที่อุตสาหกรรมหลัก ๆ ที่เริ่มฟื้นกลับมาขยายตัวอีกครั้ง เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์และเครื่องยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการซื้อในประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมยางรถยนต์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.92 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ยังคงขยายตัวได้ดีในเดือนพฤศจิกายน ได้แก่
รถยนต์ และเครื่องยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.02 เนื่องจากความต้องการซื้อในกลุ่มสินค้ารถปิคอัพและรถยนต์นั่งขนาดเล็กขยายตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีปัจจัยหลักจากกำลังซื้อในประเทศฟื้นตัวได้ดีขึ้น ตามราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูง และการเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงงาน Motor Expor 2020 (2-13 ธ.ค.63) รวมถึงคำสั่งซื้อของประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ที่เริ่มมีมากขึ้น
น้ำมันปิโตรเลียม ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.95 เนื่องจากโรงกลั่นและบริษัทหลายแห่งหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ในปีก่อน แต่ปีนี้มีการซ่อมบำรุงเพียงบางแห่งและเริ่มกลับมาผลิตตามปกติแล้ว
ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.71 เนื่องจากความต้องการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทหน่วยความจำ sensors และ Integrated Circuit เป็นต้น
เภสัชภัณฑ์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.61 จากผลิตภัณฑ์ยาเม็ด ยาน้ำ ยาแคปซูล และยาฉีด เป็นหลัก เนื่องจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของผู้ผลิตได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเพราะผลิตภัณฑ์มีคุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ รวมถึงผู้ผลิตบางรายสามารถเพิ่มการผลิตได้สูงขึ้นหลังขยายอาคารเก็บรักษายาตั้งแต่ปลายปีก่อน
มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 31.29 จากผลิตภัณฑ์มอเตอร์และหม้อแปลงไฟฟ้า เนื่องจากความต้องการใช้ในช่วงการกักตัวอยู่บ้านของลูกค้าประเทศต่าง ๆ โดยเป็นมอเตอร์ปั๊มน้ำสำหรับสระว่ายน้ำ ส่งผลให้การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 82.66 สำหรับหม้อแปลงไฟฟ้าเดือนนี้ผลิตเป็นหม้อแปลงขนาดเล็กกำลังไฟต่ำจึงผลิตได้มากกว่าปกติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38008 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ตั้งคณะทำงานความร่วมมือการท่องเที่ยวเชิงเกษตร พร้อมเตรียมจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตร ชวนคนไทยเที่ยวเมืองไทย หวังกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ปี 2564 | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ ตั้งคณะทำงานความร่วมมือการท่องเที่ยวเชิงเกษตร พร้อมเตรียมจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตร ชวนคนไทยเที่ยวเมืองไทย หวังกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ปี 2564
กระทรวงเกษตรฯ ตั้งคณะทำงานความร่วมมือการท่องเที่ยวเชิงเกษตร พร้อมเตรียมจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตร ชวนคนไทยเที่ยวเมืองไทย หวังกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ปี 2564
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานความร่วมมือการท่องเที่ยวเชิงเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครั้งที่ 2/2563 ณ ห้องประชุม 134 – 135 กระทรวงเกษตรฯ ว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีแนวทางส่งเสริมเศรษฐกิจด้านการเกษตร โดยเชิญชวนประชาชนคนไทยเที่ยวเมืองไทย ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อสนับสนุนมาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศไทย โดยเน้นการส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชน สนับสนุนสินค้าเกษตรและการจัดการทรัพยากรทางการเกษตรในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้แก่เกษตรกรและชุมชน รวมทั้งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรให้ได้มาตรฐานและมีความยั่งยืน ซึ่งจะบูรณาการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงเกษตรระหว่างภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่น จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานความร่วมมือการท่องเที่ยวเชิงเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 3 กันยายน 2563 ขึ้น โดยมี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน เพื่อกำหนดแนวทางการขับเคลื่อน ยกระดับแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรให้ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย เพื่อส่งเสริมให้สามารถแข่งขันในธุรกิจท่องเที่ยวได้ ตลอดจนจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการพัฒนางานท่องเที่ยวเชิงเกษตรแบบบูรณาการ
นายนราพัฒน์ กล่าวว่า ที่ประชุมมีการหารือร่วมกันกับหน่วยนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรของหน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีความโดดเด่น อาทิ 1) กรมส่งเสริมการเกษตร มีข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีศักยภาพ มีความโดดเด่น มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม 247 แห่ง แบ่งเป็นของเกษตรกร 226 แห่ง ศูนย์ปฏิบัติการฯ สังกัดกรมฯ 21 ศูนย์ 2) กรมวิชาการเกษตร มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรเป็นส่วนราชการ 21 แห่ง มีความโดดเด่นในแบบของตัวเอง มีข้อมูลองค์ความรู้วิชาการเกษตรด้านต่างๆ ที่หลากหลาย 3) กรมประมง มีแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นของกรมประมง คือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี และโครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เต่ากระอานและเต่าน้ำจืดใกล้สูญพันธุ์ จังหวัดสตูล 4) กรมหม่อนไหม มีศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญาด้านหม่อนไหม 21 แห่ง ได้แก่ การทำผ้าบาติกไหม ผ้าพันคอ หมอนรองคอ และมีกลุ่มหัตถศิลป์ซึ่งทำผลิตภัณฑ์โปรตีนไหม สบู่ ยาสระผม และ 5) กรมปศุสัตว์ มีศูนย์เรียนรู้ด้านปศุสัตว์ เป็นต้น พร้อมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาเส้นทางและกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาทิ การทำปฏิทินท่องเที่ยวเชิงเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อสร้างการรับรู้และเป็นข้อมูลทางเลือกแก่นักท่องเที่ยว ต่อไป
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การคัดเลือกแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตรได้กำหนดหลักเกณฑ์ ดังนี้ ดำเนินการในรูปวิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกร ชุมชน มีศักยภาพในการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีกิจกรรมการเกษตรที่โดดเด่น หรือมีนวัตกรรมด้านการเกษตรเป็นจุดเด่นสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ คมนาคมสะดวก ใกล้แหล่งท่องเที่ยวหลักหรือท่องเที่ยวธรรมชาติ ชุมชนและนักท่องเที่ยวร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนี้ได้มีแนวทางการดำเนินงานด้านท่องเที่ยวภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) โดยมีมาตรการด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด เช่น จุดคัดกรอง จุดตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การเว้นระยะหาง กำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวให้เหมาะสม เป็นต้น
สำหรับเส้นทางท่องเที่ยวในเบื้องต้น อาทิ 1) กรุงเทพฯ - มวกเหล็ก - สระบุรี ได้แก่ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย, ฟาร์มสายทอง สาธิตการแปรรูปหม่อน, สวนผักครูสรรเสริญ แหล่งผลิตผักผลอดสารพิษ 2) กรุงเทพ – วังน้ำเขียว - นครราชสีมา ได้แก่ วังน้ำเขียวฟาร์ม ท่องเที่ยวและศึกษาดูงานโรงเพาะเห็ดที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน, รักจัง ฟาร์มเมล่อนวังน้ำเขียว เรียนรู้วิธีการปลูกเมล่อนปลอดสารพิษ, สวนสับปะรดสีบ้านพระอังคาร ชมแหล่งเพาะพันธุ์ต้นสับปะรดสีมากกว่า 200 สายพันธุ์ 3) กรุงเทพ - เพชรบุรี - ประจวบคีรีขันธ์ ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนแพปลาชุมชน, วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านทุ่งสะท้อน, มาลัยฟาร์ม ศูนย์การเรียนรู้ด้านปศุสัตว์ 4) เชียงใหม่ ได้แก่ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ (พืชสวนโลก), ศูนย์ผึ้งเชียงใหม่, I Love Flower Farm เป็นต้น
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38015 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 หารือข้อราชการสำคัญผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ ต้องไม่มีเข้าเมืองผิดกฎหมาย – บ่อนการพนันโดยเด็ดขาด รณรงค์ประชาชนอยู่บ้านช่วงปีใหม่ เข้มมาตรการสาธารณสุข | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
มท.1 หารือข้อราชการสำคัญผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ ต้องไม่มีเข้าเมืองผิดกฎหมาย – บ่อนการพนันโดยเด็ดขาด รณรงค์ประชาชนอยู่บ้านช่วงปีใหม่ เข้มมาตรการสาธารณสุข
มท.1 หารือข้อราชการสำคัญผู้ว่าฯ – นายอำเภอ ทั่วประเทศ ต้องไม่มีเข้าเมืองผิดกฎหมาย – บ่อนการพนันโดยเด็ดขาด รณรงค์ประชาชนอยู่บ้านช่วงปีใหม่ เข้มมาตรการสาธารณสุข
วันนี้ (30 ธ.ค. 63) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมชี้แจงข้อราชการสำคัญ โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุม และเป็นการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS) โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด หัวหน้าสำนักงานจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย นายอำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เปิดเผยว่า ตามที่ในปัจจุบันได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในหลายจังหวัด ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) ต้องบูรณาการและกำชับหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งตามแนวชายแดนและพื้นที่ตอนใน ดำเนินมาตรการสกัดกั้นไม่ให้มีบุคคลที่เดินทางเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมายตามแนวชายแดนอย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธานชุมชน ประสานความร่วมมือจากประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนช่วยกันสอดส่องดูแลบุคคลที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ และสำหรับการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะกลุ่มที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองและไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน ซึ่งคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 ได้มีมีมติเห็นชอบแนวทางบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยให้คนต่างด้าวกลุ่มนี้ ทั้งที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายหรืออยู่ในประเทศโดยไม่ถูกต้อง ทั้งที่มีนายจ้าง/หรือยังไม่สามารถหานายจ้างได้ ให้มาดำเนินการตามแนวทางฯ เพื่อให้สามารถอยู่และทำงานได้อย่างถูกต้อง และทำให้ภาครัฐมีข้อมูลของคนต่างด้าวกลุ่มนี้ รวมถึงเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้วย โดยต้องมาแจ้งรายชื่อและข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ ระหว่างวันที่ 15 ม.ค. – 13 ก.พ. 64 และสามารถอยู่ทำงานได้ถึงวันที่ 13 ก.พ. 66 จึงให้ทุกจังหวัดทำความเข้าใจผู้ประกอบการ พร้อมทั้งกำกับดูแลและประสานการปฏิบัติของหน่วยงานและผู้ที่รับผิดชอบในพื้นที่ ดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาที่กำหนดไว้ และไม่ให้มีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาในประเทศอีก
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ในเรื่องการลักลอบเล่นการพนันในพื้นที่ที่ส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องใช้อำนาจและสั่งการกลไกฝ่ายปกครองพร้อมบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่เข้มงวดกวดขันอย่างเข้มข้น รวมไปถึงการพิจารณาปิดสถานที่ งดกิจกรรม หรือการดำเนินการอื่น ๆ ต้องหารือร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนดมาตรการในแต่ละพื้นที่ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กำหนด โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อวิถีชีวิตประชาชนและสภาพเศรษฐกิจในพื้นที่ และในการดำเนินการกรณีพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ดำเนินการติดตามสอบสวนโรคและค้นหาบุคคลที่ใกล้ชิดเกี่ยวข้องตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยงแต่ไม่พบเชื้อให้กักกันตนเอง (Quarantine) ตัวเอง และหากจังหวัดใดมีการพิจารณาเตรียมการเรื่องการสร้างโรงพยาบาลสนาม เพื่อแยกผู้ติดเชื้อ ต้องรณรงค์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจ และสำหรับจังหวัดที่ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ ให้พิจารณากำหนดมาตรการเข้มข้นตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่เพื่อป้องกันการระบาดของโรคด้วย
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า ในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในขณะนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของยาเสพติดไม่ให้มีในประเทศอย่างเด็ดขาด และในขณะนี้เข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ขอให้ทุกจังหวัดได้ดำเนินการขับเคลื่อนแนวทางป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ตามแนวทางที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ได้กำหนดมาตรการไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องยานพาหนะ ต้องมีการตรวจสภาพรถทั้งรถส่วนตัวและรถสาธารณะให้มีสภาพพร้อมใช้งาน และเรื่องถนน ต้องวางมาตรการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยในทางร่วมทางแยกหรือทางรถไฟตัดผ่าน แต่ทั้งนี้ เพื่อสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชนขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนอยู่บ้าน อยู่กับครอบครัว หลีกเลี่ยงการเดินทาง ใช้ชีวิตให้ปลอดภัยไร้อุบัติเหตุ และไม่ติดเชื้อโควิด-19
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ทุกจังหวัด อำเภอ รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ดี ให้เกิดความตระหนักและเน้นย้ำมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเต็มขีดความสามารถ หรือ DMHTT ทั้งการเว้นระยะระหว่างกัน (Distancing) สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเมื่อพบปะผู้อื่น (Mask Wearing) ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสบู่หรือเจลล้างมือ (Hand Washing) ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและสังเกตอาการ (Testing) และใช้แอปพลิเคชั่นไทยชนะ (Thai Cha na) และในช่วงนี้ขอให้ทำงานร่วมกันฟันฝ่าวิกฤตโควิด-19 ให้ได้ และขอขอบคุณข้าราชการทั้งส่วนภูมิภาคและส่วนกลางประจำภูมิภาคทุกคนที่เป็นด่านหน้าในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นอย่างดี และขอให้ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแข็งขัน เราต้องต่อสู้กันไป เราจะหยุดกันได้ ถ้าทุกคนร่วมมือ ข้าราชการทุกคนต้องดูแลตัวเอง และขออำนวยพรให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงในเทศกาลปีใหม่ 2564
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38024 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด งดออกใบอนุญาตเล่นการพนันป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 หากฝ่าฝืนให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด งดออกใบอนุญาตเล่นการพนันป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 หากฝ่าฝืนให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด งดออกใบอนุญาตเล่นการพนันป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 หากฝ่าฝืนให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
วันนี้ (30 ธ.ค. 63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามนโยบาย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 15) ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2563 อย่างเข้มข้น และให้พิจารณาควบคุมสถานที่ที่อาจมีกิจกรรมที่ง่ายต่อการแพร่กระจายของโรคดังกล่าว เช่น กิจกรรมการเล่นการพนัน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้เคยแจ้งแนวทางให้จังหวัดและอำเภอถือปฏิบัติในการพิจารณาอนุมัติ อนุญาต จัดให้มีการเล่นการพนันตามกฎหมายว่าด้วยการพนันในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แต่เนื่องจากในปัจจุบันพบว่าเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ขึ้นในบางเขตพื้นที่ และในการการจัดให้มีการเล่นการพนันแต่ละครั้งเป็นกิจกรรมที่มีผู้เข้าเล่นการพนันเป็นจำนวนมาก อาจเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคไปสู่บุคคลอื่นได้
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า เพื่อให้การป้องกันและสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอทั่วประเทศ งดออกใบอนุญาตการจัดให้มีการเล่นการพนัน ชนไก่ กัดปลา ชกมวย แข่งม้า ชนโค และไพ่ผ่องไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายโดยกระทรวงมหาดไทยจะได้แจ้งให้ทราบ ส่วนกรณีเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตที่ได้ออกใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนัน ชนไก่ กัดปลา ชกมวย แข่งม้า ชนโค และไพ่ผ่องไทยไปแล้ว ให้แจ้งกับผู้ได้รับอนุญาตข้างต้นงดจัดให้มีการเล่นการพนันดังกล่าว และให้เข้มงวดกวดขันจับกุมผู้ลักลอบจัดให้มีและผู้เข้าเล่นการพนันที่ไม่ได้รับอนุญาตทุกประเภทอย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38025 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงแอมเนสตี้ฯ | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงแอมเนสตี้ฯ
กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงแอมเนสตี้ฯ
วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงแอมเนสตี้ฯ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกการดำเนินคดีต่อกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองว่า รัฐบาลไทยยึดมั่นในสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสันติ ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญของไทยและได้รับการคุ้มครองตามพันธกรณีระหว่างประเทศของไทยภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เปิดให้มีการชุมนุมหลายครั้งและบริหารจัดการการชุมนุมด้วยความอดทนอดกลั้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ในขณะเดียวกัน รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาไว้ซึ่งหลักนิติธรรมและถือเป็นความรับผิดชอบในการกำกับดูแลการใช้สิทธิของบุคคลอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ไม่ละเมิดสิทธิและชื่อเสียงของบุคคลอื่น หรือก่อความไม่สงบเรียบร้อยต่อสังคมโดยรวม ทั้งนี้ หลายคดียังคงอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน และต้องเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย และเช่นเดียวกับระบอบกฎหมายทั่วโลกว่าต้องมีการรวบรวมและตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนทำสำนวนเพื่อที่จะส่งให้ฝ่ายอัยการพิจารณาตรวจสอบต่อไป โดยคดีจะถูกพิจารณาในชั้นศาลต่อเมื่อผ่านการเสนอตามกระบวนการแล้วเท่านั้น ในกรณีของผู้เยาว์ เป็นความรับผิดชอบของศาลเยาวชนและครอบครัว ซึ่งมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวแบบมีเงื่อนไข
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ไม่มีการจับกุมผู้ประท้วงเนื่องจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสันติ แต่มีการจับกุมเนื่องจากกระทำการอันเป็นการละเมิดกฎหมายอื่น ๆ ของไทย และผู้ถูกจับกุมส่วนมากได้รับการปล่อยตัวแล้ว และประชาชนในประเทศไทยสามารถใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสันติ อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่าสามเดือนที่ผ่านมา เพื่อแสดงออกซึ่งความเห็นของตน ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงการเคารพเสรีภาพในการแสดงออกและชุมนุมโดยสันติในประเทศไทย
...........................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38011 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ย้ำทุกหน่วยงานใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ อย่างเคร่งครัด ให้สถานสงเคราะห์ทั่วประเทศปลอดจากโควิด 100% | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
ปลัด พม. ย้ำทุกหน่วยงานใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ อย่างเคร่งครัด ให้สถานสงเคราะห์ทั่วประเทศปลอดจากโควิด 100%
ปลัด พม. ย้ำทุกหน่วยงานใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ อย่างเคร่งครัดให้สถานสงเคราะห์ทั่วประเทศปลอดจากโควิด 100%
วันนี้ (30 ธ.ค. 63) เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ระลอกใหม่เกิดขึ้นในบางพื้นที่ และส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ที่อยู่ในความดูแลภายในสถานสงเคราะห์ของกระทรวง พม. โดยได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามแนวทางมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้เกิดการระบาดลุกลามเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายในสถานสงเคราะห์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล สำหรับประชาชนที่ประสงค์จะบริจาคเงิน อาหาร สิ่งของเครื่องใช้ให้กับสถานสงเคราะห์ต่างๆ ยังสามารถบริจาคได้ตามปกติ โดยขอให้ปฏิบัติตามมาตรการในการดูแลความปลอดภัยและสุขภาพของผู้มาติดต่อราชการ อีกทั้งของดการเข้ามาร่วมจัดกิจกรรมต่างๆ ในสถานสงเคราะห์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นางพัชรี กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มบุคลากร เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานของกระทรวง พม. ให้ยึดถือปฎิบัติตามแนวทางมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ ได้ขอความร่วมมือให้บุคลากรทุกคนที่มาปฏิบติงานในทุกอาคารของกระทรวง พม. ในพื้นที่สะพานขาว ต้องสวมใส่หน้ากากป้องกัน และงดให้บุคคลภายนอกเข้ามาในอาคารในพื้นที่สะพานขาว แต่หากจำเป็นต้องติดต่อราชการ ต้องถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1) ให้ทุกส่วนราชการประสานแจ้งบุคคลภายนอกที่มีการติดต่อราชการทราบเรื่องงดบุคคลภายนอกเข้ามาติดต่อราชการ ภายในอาคารกระทรวง และส่วนราชการสังกัด พม. ในพื้นที่สะพานขาว หากจำเป็นให้ใช้วิธีการติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางอื่นแทน เช่น ไลน์ โทรศัพท์ email เป็นต้น 2) บุคลากรทุกคนที่เข้าอาคารกระทรวงต้องแสดงบัตรแสดงตนหรือบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ต่อเจ้าหน้าที่ที่จุดคัดกรองอุณหภูมิร่างกาย หากไม่มีบัตรดังกล่าว จะไม่อนุญาตให้เข้าอาคารกระทรวงโดยเด็ดขาด 3) กรณีการรับ-ส่งเอกสาร ขอให้ทุกส่วนราชการแจ้งบุคคลภายนอกรอที่จุดพักรอ และโทรแจ้งให้บุคลากรที่จะมาติดต่อ ลงมารับ-ส่งเอกสารที่จุดดังกล่าว และ 4) ขอให้ทุกส่วนราชการประกาศแจ้งให้บุคลากรในสังกัดทราบถึงมาตรการดังกล่าวโดยทั่วกัน และถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่ต้องลงพื้นที่ชวยเหลือประชาชนกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน ขอให้ใช้อุปกรณ์ป้องกันอย่างเต็มที่ และปฏิบัติตามแนวทางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38013 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศเลื่อนการสอบแข่งขันเพื่อเข้ารับราชการของ กสร. | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
ประกาศเลื่อนการสอบแข่งขันเพื่อเข้ารับราชการของ กสร.
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ออกประกาศเลื่อนการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ขอให้ผู้สมัครติดตามการประกาศกำหนดวัน และเวลาสอบอย่างใกล้ชิด ทางเว็บไซต์ http://personnel.labour.go.th
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้มีประกาศการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งนักวิชาการแรงงานปฏิบัติการ ตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีปฏิบัติงาน และตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน ในวันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2564 นั้น เนื่องจากในปัจจุบันได้มีการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ จึงส่งผลกระทบต่อการสอบแข่งขัน เพื่อวัดความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่งของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จึงได้ออกประกาศเลื่อนการสอบแข่งขันดังกล่าวออกไปก่อน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
ทั้งนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะประกาศกำหนดวัน และเวลาในการสอบฯ และแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ทางเว็บไซต์ http://personnel.labour.go.th และ http://labour.jobthaigov.com ขอให้ผู้สมัครสอบติดตามการประกาศกำหนดวัน และเวลาในการสอบฯ อย่างใกล้ชิด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38016 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขอประชาชนช่วยลดการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 งดกิจกรรมกับคนหมู่มาก | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
สธ.ขอประชาชนช่วยลดการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 งดกิจกรรมกับคนหมู่มาก
กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือประชาชนช่วยลดการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ช่วงเทศกาลปีใหม่งดกิจกรรมสัมผัสคนหมู่มาก เน้นกิจกรรมเล็กๆ ในครอบครัว
กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือประชาชนช่วยลดการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ช่วงเทศกาลปีใหม่งดกิจกรรมสัมผัสคนหมู่มาก เน้นกิจกรรมเล็กๆ ในครอบครัว งดการเดินทาง หากจำเป็นให้ทำไทม์ไลน์ ชี้กรณีผู้ติดเชื้อ 100 กว่าคนที่ชลบุรี เป็นบทเรียน เหตุจากบ่อนพนัน และสถานบันเทิง แพร่โรคให้คนในครอบครัว และชุมชน
วันนี้ (30 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ปฏิบัติหน้าที่รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย โดยนายแพทย์โอภาสกล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ยังคงพบการระบาดโรคโควิด 19 ในหลายจังหวัด ทั้งกรณี จ.สมุทรสาคร จ.ระยอง ล่าสุด จ.ชลบุรี จึงขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันควบคุมโรค โดยการงดจัดกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับผู้คนจำนวนมาก เน้นทำกิจกรรมเฉพาะกลุ่มภายในครอบครัว รวมถึงงดเว้นการเดินทาง แต่หากจำเป็นขอให้ทำบันทึกไว้เพื่อเป็นไทม์ไลน์ หรือลงทะเบียนว่าไปจุดใดบ้าง ต้องสวมหน้ากาก 100% เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ สแกนไทยชนะ เพื่อความปลอดภัย ส่วนแรงงานต่างด้าวห้ามเดินทางข้ามจังหวัด ขอให้อยู่ภายในที่พักหรือสถานที่ทำงาน งดการไปมาหาสู่ระหว่างกัน โดยขอให้นายจ้างตรวจสอบดูแลอย่างเข้มงวด
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคโควิด 19 แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด และพื้นที่เฝ้าระวัง โดยผู้ว่าราชการจังหวัด /คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด จะประเมินจากข้อมูลทางระบาดวิทยาเพื่อประกาศว่าเป็นพื้นที่ระดับใด โดยอาจประกาศทั้งจังหวัดหรือเฉพาะบางพื้นที่ เช่น จ.สมุทรสาคร จ.ระยอง ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ขอให้ประชาชนติดตามการประกาศของแต่ละจังหวัด สำหรับกรณี จ.ชลบุรี ที่พบผู้ติดเชื้อ 100 กว่าราย จากการสอบสวนโรคพบว่า ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่ อ.บางละมุง มีประวัติไปที่บ่อนพนันหลายแห่ง ซึ่งในบ่อนเป็นสถานที่อับ อากาศไม่ถ่ายเท นักเล่นอยู่รวมกันหนาแน่น ทำให้เกิดการแพร่กระจายโรคเป็นไปอย่างรวดเร็ว และส่วนใหญ่คนติดเชื้อเหล่านี้มักไปสถานบันเทิง ทำให้มีเหตุการณ์ไปติดเชื้อในสถานบันเทิง อากาศถ่ายเทไม่ดี อยู่กันอย่างแออัด ดื่มแอลกอฮอล์แก้วเดียวกัน ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น ที่สำคัญการติดเชื้อจะไปสู่คนในครอบครัว และในชุมชน เช่น เด็กนักเรียนไปติดที่โรงเรียน เป็นต้น
“เหตุการณ์ที่ชลบุรีนี้ถือเป็นบทเรียนอย่างดี การยังมีบ่อนพนันเปิดอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำหลายครั้ง เห็นตรงกันว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับคนไทย เราต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบบ่อนที่ไหนยังเปิดดำเนินการอยู่ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างเด็ดขาด จะเป็นการป้องกันตัวเอง สังคมและประเทศ” นายแพทย์โอภาสกล่าว
ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ปฏิบัติหน้าที่รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ จ.ระยอง ทีมสอบสวนโรค ลงพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2563 พบผู้ติดเชื้อ 7 ราย จาก 11 ราย ในกลุ่มผู้โดยสารรถตู้ไปท่องเที่ยวที่ จ.ระยองและจันทบุรี ระหว่างวันที่ 17-20 ธันวาคม 2563 โดยรายแรกเป็นหญิงอายุ 57 ปี มีอาการไข้ จมูกไม่ได้กลิ่น เจ็บคอ ตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2563 นำไปติดคนในครอบครัว 4 ราย และผู้ที่ร่วมเดินทางอีก 2 ราย จากข้อมูลดังกล่าวกรมควบคุมโรคส่งสัญญาณเตือนไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งอาจมีผู้เดินทางมาเที่ยวที่ จ.ระยอง ขณะนี้มีรายงานการพบผู้ติดเชื้อที่เกี่ยวข้องใน 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง อำนาจเจริญ พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และชลบุรี ดังนั้นขอให้ผู้เดินทางไปใน 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง แกลง บ้านฉาง นิคมพัฒนา และบ้านค่าย ซึ่งเป็นพื้นที่มีความเสี่ยงในการลักลอบเล่นการพนัน หรืออยู่ในสถานที่ที่พบรายงานผู้ติดเชื้อ ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2563 หากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้เข้ารับการตรวจได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน และในระหว่างนี้ขอให้สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด ระวังจนครบ 14 วันหลังจากกลับมา โดยติดตามข้อมูลได้ที่เพจFacebook ของกรมควบคุมโรค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่พำนักอยู่
นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีกรุงเทพมหานครที่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงและร้านอาหาร 3 แห่ง ได้แก่ ร้านอาหารอีสานกรองแก้ว ย่านปิ่นเกล้า ร้านแซ่บอีสานคาราโอเกะ ย่านเทเวศน์ และร้านน้องใหม่พลาซ่า ย่านปิ่นเกล้า ระหว่างวันที่ 17 ถึง 30 ธันวาคม 2563 พบผู้ติดเชื้อรวม 33 ราย ซึ่งส่วนใหญ่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ หากผู้ใดมีประวัติเสี่ยงเที่ยวสถานบันเทิงดังกล่าว ขอให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ สังเกตอาการจนครบ 14 วัน ในระหว่างนี้หากมีอาการป่วย ขอให้รับการตรวจวินิจฉัยได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยแจ้งประวัติเสี่ยง
“จากทั้ง 2 เหตุการณ์แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเกิดจากสถานที่ปิด อากาศไม่ถ่ายเท มีความแออัด ส่วนหนึ่งไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ทำให้มีโอกาสรับเชื้อได้หากมีผู้ติดเชื้อเข้าไปในสถานที่ดังกล่าว ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงจากสถานที่เหล่านี้ สำหรับช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ปีนี้ หากเป็นไปได้ฉลองปีใหม่อยู่บ้าน หากจำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย ไม่ใช้แก้วน้ำและช้อนส้อมร่วมกับผู้อื่น เว้นระยะห่าง เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ส่วนวัยหนุ่มสาวขอให้ระวังตัวเอง เนื่องจากเมื่อติดเชื้อมักไม่มีอาการและเกิดการแพร่เชื้อขึ้นได้โดยเฉพาะแพร่สู่ผู้สูงอายุและเด็ก ขอให้ฉลองปีใหม่ที่ปลอดภัยลดความเสี่ยง มีความสุข สุขภาพแข็งแรง” นายแพทย์โสภณกล่าว
***************************** 30 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38023 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ - พาณิชย์ สร้างความเชื่อมั่นสินค้าสัตว์น้ำไทย | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
เกษตรฯ - พาณิชย์ สร้างความเชื่อมั่นสินค้าสัตว์น้ำไทย
เกษตรฯ - พาณิชย์ สร้างความเชื่อมั่นสินค้าสัตว์น้ำไทย จับมือแม็คโครรับซื้อกุ้งกระจายทุกสาขาช่วยเกษตรกร ด้านกรมประมงมอบหนังสือรับรองการปฏิบัติตามมาตรการเพิ่มเติมเฉพาะกิจ COVID – 19 ตอกย้ำความมั่นใจ
วันที่ 30 ธันวาคม 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ปี 2563/64” โดยมี นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) สาขานครอินทร์ จ.นนทบุรี โดยภายในงานได้มีพิธีส่งมอบกุ้งระหว่างกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง กับบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด ตลอดจนเยี่ยมชมการจำหน่ายกุ้งจากเกษตรกรภายในแผนกอาหารทะเลของแม็คโคร และเยี่ยมชมบูธผู้ประกอบการร้านอาหารที่นำกุ้งมาสร้างสรรค์เมนูพิเศษ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รอบใหม่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่นิ่งนอนใจ โดยเฉพาะความกังวลของประชาชนในการบริโภคสัตว์น้ำ ส่งผลให้เกษตรชาวประมงโดยเฉพาะกุ้ง ได้รับผลกระทบในวงกว้าง ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมตลอดห่วงโซ่การผลิต จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรทั้งระบบ ในสินค้าประมงและสินค้าปศุสัตว์ เพื่อให้สินค้ามีความปลอดภัยและได้มาตรฐานต่อผู้บริโภคให้มากที่สุด สำหรับงานในวันนี้ยังได้มีการมอบหนังสือรับรองการปฏิบัติตามมาตรการเพิ่มเติมเฉพาะกิจในการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19 ) สำหรับ Modern Trade ของกรมประมงให้กับ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) สาขานครอินทร์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าบริษัทดังกล่าวให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขในข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่1) ของกระทรวงสาธารณสุขในส่วนที่เกี่ยวข้อง และการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการปฏิบัติตามมาตรการเพิ่มเติมเฉพาะกิจในการป้องกันการปนเปื้อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) อีกด้วย
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายชัดเจนในการเปิดตลาดท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ โดยให้ประมงจังหวัด และพาณิชย์จังหวัดประสานการทำงานร่วมกันเพื่อเปิดช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกรในพื้นที่เป็นการกระจายสัตว์น้ำ ตลอดจนมุ่งมั่นสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนชาวไทย และขอให้เชื่อมั่นในสินค้าสัตว์น้ำเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรชาวประมง และขอย้ำว่าสัตว์น้ำไทยโดยเฉพาะกุ้งทะเลสามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องกังวลว่าสัตว์น้ำจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อไวรัสโควิด อย่างไรก็ตามทุกครั้งก่อนนำมาบริโภคขอให้ล้างน้ำให้สะอาดและปรุงให้สุกอยู่เสมอ” นายเฉลิมชัย กล่าว
นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า สำหรับการออกกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเฉพาะกิจในการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัส COVID – 19 ในสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ โดยมาตรการเฉพาะกิจดังกล่าวมีผลบังคับใช้กลุ่มผู้ประกอบการกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้อง 5 ประเภท ได้แก่ 1) ผู้ประกอบการกระบวนการผลิต (ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมง/เรือประมง) 2) ผู้ประกอบการกระบวนการลำเลียงและขนส่งสัตว์น้ำ 3) ผู้ประกอบการสะพานปลา 4) ผู้ประกอบการร้านค้า Modern trade และ 5) ผู้ประกอบการแปรรูปสัตว์น้ำเพื่อการส่งออก โดยผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามมาตรการทั่วไปที่กำหนดโดยกระทรวงสาธารณสุข และมาตรการเพิ่มเติมเฉพาะกิจที่กรมประมงกำหนด จะได้รับหนังสือรับรองการปฏิบัติที่ดีในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 จากกรมประมง
สำหรับผู้ประกอบการร้านค้า Modern Trade บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทแรกที่ยื่นความประสงค์ขอเข้ารับการตรวจประเมิน โดยกรมประมงได้จัดส่งทีมเจ้าหน้าที่จากกองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ เข้าตรวจประเมินสถานที่การบริหารจัดการสถานที่ในการจำหน่ายสินค้าตามมาตรการเฉพาะกิจฯ ไปเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 โดยผลการตรวจพบว่าทางบริษัทฯ มีมาตรการควบคุมและป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัส COVID – 19 ในสถานที่วางจำหน่ายสินค้าสัตว์น้ำได้อย่างเหมาะสม อาทิ มีการควบคุมแหล่งที่มาของสัตว์น้ำที่ชัดเจน โดยผู้ขายส่งส่วนใหญ่มาจากฟาร์มที่ขึ้นทะเบียนกับทางกรมประมง และมีการสุ่มตรวจเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในสัตว์น้ำจากผู้ขายส่ง มีมาตรการการควบคุมการปนเปื้อนจากพาหนะขนส่ง มีการบริหารจัดการการวางจำหน่ายสินค้าสัตว์น้ำจัดแยกตามชนิด การล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณพื้นที่จำหน่ายสินค้าและอุปกรณ์ มีมาตรการป้องกันการปนเปื้อนจากผู้บริโภคที่เข้ามาเลือกซื้อสินค้า ฯลฯ
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ประสงค์ขอรับการตรวจประเมินสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมประมง โทร. 0 2562 0600 หรือสำนักงานประมงจังหวัดในพื้นที่ทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38014 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 ให้แก่เกษตรกร จ.ลำปาง | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 ให้แก่เกษตรกร จ.ลำปาง
รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 ให้แก่เกษตรกร จ.ลำปาง สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ให้เกษตรกรมีที่ดินในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภองาว ต.นาแก อ.งาว จ.ลำปาง ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เป็นหน่วยงานที่จัดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ด้วยวิธีการปฏิรูปที่ดิน โดยการจัดหาที่ดินและจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทำกิน หรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอต่อการครองชีพ และจะให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ปรับปรุงทรัพยากร ปัจจัยการผลิตตลอดจนการผลิตและการจำหน่ายให้เกิดผลดียิ่งขึ้น
“ในวันนี้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เกษตรกรทั้ง 247 ราย ได้เข้ารับมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) จำนวน 284 แปลง เนื้อที่ 1,145-2-43 ไร่ เกษตรกรนั้นจะได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม มีที่ดินในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม อีกทั้งการนำหนังสืออนุญาตฯ มามอบให้เกษตรกร ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่อยู่ห่างไกลจากการบริการของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด เป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาในการเดินทางมาติดต่อราชการอีกด้วย”ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ทั้งนี้ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดลำปาง (ส.ป.ก.ลำปาง) มีพื้นที่ดำเนินการในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดลำปาง ประมาณ 284,055 ไร่ และได้ดำเนินการจัดที่ดินให้เกษตรกรไปแล้ว โดยเป็นพื้นที่เกษตรกรรม จำนวน 37,582 ราย 54,893 แปลงเนื้อที่ 252,668 ไร่ และเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัย จำนวน 2,008 ราย 2,102 แปลง เนื้อที่ 1,376 ไร่
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38017 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย”ชูธงยุทธศาสตร์“ตลาดนำการผลิต”ปฏิรูปภาคเกษตรรับมือปี 2564 | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
“เฉลิมชัย”ชูธงยุทธศาสตร์“ตลาดนำการผลิต”ปฏิรูปภาคเกษตรรับมือปี 2564
“เฉลิมชัย”ชูธงยุทธศาสตร์“ตลาดนำการผลิต”ปฏิรูปภาคเกษตรรับมือปี 2564 พร้อมขอบคุณประชาชนมอบตำแหน่งรัฐมนตรีดีเด่นและโหวตให้กระทรวงเกษตรมีผลงานอันดับ1
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงวันนี้(30ธ.ค.)ว่า
ตามที่มีผลการการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อผลงานของรัฐบาล ประจําปี พ.ศ. 2563 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง การถดถอยของ เศรษฐกิจ และเหตุการณ์อื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างต่อเนื่อง จํานวนทั้งสิ้น 4,121 ตัวอย่าง ระหว่าง วันที่ 21 – 25 ธันวาคม 2563 ประชาชนร้อยละ 62.11% พอใจภาพรวมผลงานและการทํางานของรัฐบาลส่วนกระทรวงที่ประชาชนพอใจกับผลงานและการทำงานมากที่สุดได้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 65.62%ซึ่งเป็นการสำรวจความเห็นโดยศูนย์นวัตกรรมดิจิทัล วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา หรือ RIDC โพลและประขาชนยังโหวตให้
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯเป็นรัฐมนตรีที่มีผลงานดีเด่นท็อปเทนของประเทศนั้น ถือเป็นการให้ความสำคัญกับภาคเกษตรกรรมและเป็นการให้กำลังใจต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน
ขอแสดงความขอบคุณพี่น้องประชาชนและรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนและยืนยันว่าพร้อมทุ่มเททำงานหนักร่วมกับทุกภาคีภาคส่วนเพื่ออนาคตที่ดีขึ้นของเกษตรกรไทยและประเทศชาติโดยในปี2564จะขับเคลื่อนการทำงานด้วย 5 ยุทธศาสตร์และ15แนวทางนโยบายหลักได้แก่
1. ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตเป็นยุทธศาสตร์หลักเพื่อปฏิรูปภาคเกษตรทั้งในรูปแบบตลาดออนไลน์ (แพลตฟอร์มรายสินค้าเพื่อรองรับ New Normal) ตลาดออฟไลน์ Modern Trade รถโมบาย ตลาดสด คาราวานสินค้า เกษตรพันธสัญญา และเคาน์เตอร์เทรด จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจผู้ซื้อกับผู้ขาย เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ
2. ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร4.0 เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินการบริการประชาชนและการพัฒนาภาคเกษตรกรรมโดยการใช้เทคโนโลยีตลอดห่วงโซ่อุปทานและมูลค่า(Supply-Value Chain)ตั้งแต่การผลิต การแปรรูปจนถึงการตลาด
3. ยุทธศาสตร์ “3’s”(Safety-Security-Sustainability-เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน)
4. ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะโมเดล “เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย”
5. ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชาโดยมีแนวทางนโยบาย14ด้านดังนี้
1) นโยบาย “ตลาดนำการผลิต”เป็นนโยบายหลักโดยเพิ่มช่องทางตลาดให้หลากหลาย ทั้งในรูปแบบ ตลาดออนไลน์ (แพลตฟอร์มรายสินค้าเพื่อรองรับ New Normal) ตลาดออฟไลน์ โมเดิร์นเทรด(Modern Trade) รถโมบาย ตลาดสด ตลาดชุมชน คาราวานสินค้า เกษตรพันธะสัญญา และเคาน์เตอร์เทรด จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจผู้ซื้อกับผู้ขาย เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ โดยร่วมมืออย่างเข้มข้นกับกระทรวงพาณิชย์ภายใต้โมเดล“เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย”
2) การสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานรากโดยส่งเสริมให้เกษตรกรมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สามารถเชื่อมโยง เครือข่ายเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทําให้มีอํานาจต่อรอง ในการซื้อขายผลผลิต ส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์เกษตรชุมชน เชื่อมโยงกับตลาด
ชุมชน/ตลาดเกษตรกร ตลาดสีเขียว(Green Market)และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในชุมชน รวมทั้งพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ สามารถ ช่วยเหลือสมาชิกเกษตรกร เอื้อให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ ทั้งสังคม ชุมชน วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติให้เข้มแข็งและยั่งยืน
3) การส่งเสริมสถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการ และ Start up เป็นหน่วยธุรกิจ ให้บริการทางการเกษตร (Agricultural Service Providers: ASP) เพื่อยกระดับสู่การ ให้บริการทางการเกษตร เช่น เทคโนโลยีในการดูแลรักษา
รถจักรกลในการเตรียมดินและ การเก็บเกี่ยว สําหรับให้บริการแก่พี่น้องเกษตรกรแบบครบวงจร
4) การส่งเสริมเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) เพื่อสร้างความไว้วางใจและ ความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพการผลิตอย่างยั่งยืน ระหว่างเกษตรกรกับ ผู้ประกอบการ และร่วมกันยกระดับคุณภาพผลผลิต และแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาด
5) การพัฒนาศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ ด้านเทคโนโลยีทางการเกษตร สนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์ นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตรที่เหมาะสมกับพื้นที่ของแต่ละจังหวัด โดยเชื่อมโยง การทํางานกับ ศพก. เพื่อยกระดับสู่การทําเกษตรสมัยใหม่ และเกษตรแบบแม่นยํา (Precision Agriculture)
6) การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการเกษตร เพื่อตอบสนองต่อโซ่อุปทาน ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการค้าสินค้าเกษตรออนไลน์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง เพื่อรักษา คุณภาพสินค้าเกษตรให้มีความสดใหม่ และถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว รวมถึงพัฒนาระบบเชื่อมโยงทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออํานวยความสะดวกในการส่งออกและนําเข้าสินค้าเกษตร
7) การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ มีการกระจายน้ำอย่างเหมาะสมและทั่วถึง รวมทั้งพัฒนาแหล่งน้ำในไร่นาของเกษตรกรและชุมชน เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอ สำหรับใช้ในการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร ตลอดจนป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัย
8) การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ตรงตามศักยภาพของที่ดิน และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดมากที่สุด โดยกำหนดเขตความเหมาะสมในการทำการเกษตรในแต่ละพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตสูงสุดผ่านข้อมูล Agri-Map
9) การส่งเสริมศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เพื่อบ่มเพาะเกษตรกรให้เป็น
Smart Farmer ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การบริหารจัดการ และการตลาดแก่เกษตรกร รวมทั้งให้บริการทางวิชาการ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในพื้นที่ โดยมีเกษตรกรต้นแบบเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ และเป็นกลไกในการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาและพัฒนาการเกษตรในระดับพื้นที่
10) การประกันภัยพืชผลให้ความคุ้มครองความเสียหายหรือความสูญเสียต่อพืชผลที่เอาประกันภัย ซึ่งเกิดจากภัยต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง ลมพายุ ลูกเห็บตก เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพทางรายได้และความมั่นคงในอาชีพให้แก่เกษตรกร รวมถึงการให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างทันท่วงที
11) การส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน และสร้างความมั่นคงแก่เกษตรกร ได้แก่ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ เกษตรธรรมชาติ และวนเกษตร ด้วยการลด ละ เลิก การใช้สารเคมี ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรับรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง และมีการพัฒนาอาหารของไทยให้เป็นรูปแบบอาหารที่ปลอดภัยและมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการสินค้าเกษตรปลอดภัยใน 5ร อันได้แก่ โรงเรียน โรงแรม โรงพยาบาล เรือนจำ และร้านอาหาร
12) การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น สร้างแบรนด์ให้กับสินค้าเกษตรอัตลักษณ์ ส่งเสริมการแปรรูปสินค้า จากความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น สมุนไพร แมลงเศรษฐกิจ ส่งเสริมสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพทางด้านการตลาดในอนาคต ทั้งสินค้าอาหารอนาคต (Future Food) และสินค้าเกษตรที่ตอบสนองผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม (Functional Food) รวมทั้งสินค้าเกษตรเพื่อพลังงานและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
13) การวิจัยและพัฒนา เพื่อตอบสนองการพัฒนาภาคเกษตรของประเทศไทย บนพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรและผู้บริโภค
14. การพัฒนาฐานข้อมูล Big Data ในการใช้ประโยชน์และเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานต่าง ๆเพื่อการบริหารและช่วยให้เกษตรกรมีข้อมูลที่ดีและเพียงพอต่อการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสมเพื่อการผลิตและการจำหน่าย
ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
และ15. การประกันรายได้ของเกษตรกร
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38018 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมว.สุชาติ’ คอนเฟอเรนซ์ให้กำลังใจ 5 หน่วยในสังกัดสมุทรสาคร พร้อมเสนอมาตรการตรวจโควิด-19 เชิงลึกแก่แรงงานในสถานประกอบการ | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
‘รมว.สุชาติ’ คอนเฟอเรนซ์ให้กำลังใจ 5 หน่วยในสังกัดสมุทรสาคร พร้อมเสนอมาตรการตรวจโควิด-19 เชิงลึกแก่แรงงานในสถานประกอบการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมคอนเฟอเรนซ์ให้กำลังใจไปยัง 5 เสือแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมกำชับแรงงานจังหวัดเสนอมาตรการต่อที่ประชุมจังหวัดให้ความช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการที่อยู่ในระบบประกันสังคม
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกล (Video Conference) เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และมอบข้อเสนอการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ในเชิงรุกแก่แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการที่อยู่ในระบบประกันสังคมในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ ได้อนุมติให้สามารถจ้างล่ามเพื่อติดต่อสื่อสารกับแรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อฯ กับโรงพยาบาลในเครือข่ายระบบประกันสังคม และสามารถรู้ผลตรวจภายใน 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้นในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 โดยมีนางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานและผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
นายสุชาติกล่าวว่า เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในจังหวัดสมุทรสาครและอีกหลายพื้นที่ในขณะนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานทุกคนทุกกลุ่มต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และได้ประสานให้แรงงานจังหวัดสมุทรสาครนำประเด็นมาตรการให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ เข้าเสนอในที่ประชุมของจังหวัดสมุทรสาครอีกด้วย
“ผมมีความห่วงใยข้าราชการและเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดทุกคนที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด -19 และขอส่งกำลังใจมายังพวกเราชาวกระทรวงแรงงานให้เข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อขับเคลื่อนภารกิจนี้สามารถก้าวข้ามวิกฤตโควิด – 19 ไปให้ได้”นายสุชาติกล่าวในตอนท้าย
ภายหลังการประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ยังได้ตรวจเยี่ยม และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการรับเรื่องราวที่ประชาชนติดต่อสอบถามผ่านบริการสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 5 ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) กระทรวงแรงงาน (ศบค.รง.) ณ บริเวณชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานอีกด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38019 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีเดย์ กรมสรรพากรปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่ เริ่ม 1 มกราคม 2564 | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
ดีเดย์ กรมสรรพากรปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่ เริ่ม 1 มกราคม 2564
กรมสรรพากรได้ปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่ เข้าถึงง่าย สบายตา เป็นสากล อำนวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษี ยื่นแบบง่าย หาข้อมูลสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมให้บริการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ประจำปีภาษี 2563
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรได้ปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษีและประชาชนที่เข้ามาใช้บริการ โดยใช้แนวคิด “เข้าถึงง่าย สบายตา เป็นสากล” จึงขอเชิญชวนผู้เสียภาษี และประชาชนเข้ามาใช้บริการเพื่อทดลองประสบการณ์ใหม่ที่กรมสรรพากรตั้งใจยกระดับการให้บริการในครั้งนี้ ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากรตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป อีกทั้งขณะนี้ ถึงเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91) ประจำปีภาษี 2563 แล้ว แนะนำให้ผู้เสียภาษียื่นแบบฯ ผ่านอินเทอร์เน็ต ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 8 เมษายน 2564 จึงขอเชิญผู้ที่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนดยื่นแบบแสดงรายการ พร้อมใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ ให้ถูกต้อง”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) กรมสรรพากรสนับสนุนการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อความปลอดภัยของทุกคนจึงขอเชิญชวนให้ทุกท่านยื่นแบบฯ ผ่านอินเตอร์เน็ต (e-Filing) ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th แทนการมายื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา”
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38020 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำขวัญวันครู ประจำปี 2564 “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์ คุณธรรม ประจำชาติ” | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
คำขวัญวันครู ประจำปี 2564 “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์ คุณธรรม ประจำชาติ”
คำขวัญวันครู ประจำปี 2564 “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์ คุณธรรม ประจำชาติ”
วันที่ 30 ธ.ค. 2563 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบคำขวัญ เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 65 พ.ศ. 2564 ว่า “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์ คุณธรรม ประจำชาติ”
.....................................
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38022 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยม SQ-AQ-LQ จ.ชลบุรี มอบแนวทางแก้ไขปัญหาโควิด-19 ยืนยันรัฐบาลดูแลบุคลากรทางการแพทย์ หวังสถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว ย้ำทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเอาชนะโควิดให้ได้ | วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยม SQ-AQ-LQ จ.ชลบุรี มอบแนวทางแก้ไขปัญหาโควิด-19 ยืนยันรัฐบาลดูแลบุคลากรทางการแพทย์ หวังสถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว ย้ำทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเอาชนะโควิดให้ได้
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยม SQ-AQ-LQ จ.ชลบุรี มอบแนวทางแก้ไขปัญหาโควิด-19 ยืนยันรัฐบาลดูแลบุคลากรทางการแพทย์ หวังสถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว ย้ำทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเอาชนะโควิดให้ได้
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (30 ธ.ค.63) เมื่อเวลา 14.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมสถานกักกันโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) สถานกักกันโรคทางเลือกระดับจังหวัด (Alternative Local Quarantine) และสถานกักกันโรคท้องที่ (Local Quarantine) ณ โรงแรมแกรนด์เบลลา พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ร่วมคณะตรวจเยี่ยม ซึ่งมี นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา นายแพทย์อภิรัต กตัญญุตานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ตลอดจนคณะบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบางละมุง ให้การต้อนรับ สรุปสาระสำคัญของการตรวจเยี่ยม ดังนี้
นายกรัฐมนตรีมอบแนวทางการปฏิบัติงานในการควบคุมและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 โดยสรุปว่า การเดินทางมาในวันนี้ นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วง จ.ชลบุรีและเมืองพัทยา เพราะเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวและมีคนจำนวนมาก และมีความเป็นห่วงการตรวจสอบคัดกรองผู้ติดเชื้อ หากมีการสกัดกั้นจากภายนอกได้และมีการดูแลภายในอย่างดี ก็คิดว่าสถานการณ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้มีแผนเตรียมโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วย รวมทั้งเตรียมพร้อมกรณีร้ายแรงและกรณีปกติ โดยการ์ดต้องไม่ตก ทั้งนี้ ขอแสดงความเสียใจที่เทศกาลปีใหม่นี้ความสุขต้องหายไป แต่รัฐบาลต้องเข้มงวดเพื่อประโยชน์โดยรวมของคนทั้งชาติ ขอให้ช่วยกันสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจกับประชาชนให้อยู่ร่วมกันในสังคม ไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก ต้องอดทน โดยหวังให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างหนัก ทุกคนเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงที่สุด จึงขอให้ดูแลระมัดระวังตัวเองให้มากที่สุด อย่าประมาท โดยนายกฯ ไม่อยากให้มีเจ้าหน้าที่ป่วยแม้แต่คนเดียว หากจำนวนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานไม่พอเพียงก็ให้ขอเพิ่มจากส่วนกลางได้ รัฐบาลจะไม่ทิ้งบุคลากรทางการแพทย์ หากมีความเดือดร้อนได้รับผลกระทบ จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ รวมทั้งขอขอบคุณโรงแรมแกรนด์เบลลา ที่ได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล เสียสละเป็นสถานที่กักกันฯ ในช่วงแรกของสถานการณ์โควิด-19 โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งขณะนี้ภาครัฐได้จัดสรรงบประมาณมาสนับสนุนทางโรงแรมแล้ว ทั้งนี้ รัฐบาลจะดูแลให้ภาคธุรกิจไม่ให้เกิดความเสียหาย
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลติดตามสถานการณ์โควิด-19 ทุกวันตลอด 24 ชม. ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการกลางออกมา โดยมอบหมายให้ผู้ว่าฯ เป็นผู้ตัดสินใจดำเนินการในพื้นที่ หากในปีหน้าไม่มีสถานการณ์อะไรอีก ก็จะมีการพิจารณาวันหยุดเพิ่มเติมทดแทนให้ เพื่อให้ภาคธุรกิจดีขึ้น โดยรัฐบาลต้องบริหารสถานการณ์ด้านสุขภาพและเศรษฐกิจไปพร้อมกัน ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนมีความเป็นห่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่รวดเร็วขึ้น ดังนั้น การใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ รีบอาบน้ำเมื่อกลับเข้าบ้าน และไม่ไปในสถานที่ที่เสี่ยง จะช่วยป้องกันเชื้อโควิดได้มากขึ้น หากใครคิดว่าไปในพื้นที่เสี่ยงขอให้กักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน หากมีอาการที่สงสัยว่าจะติดเชื้อขอให้ไปพบแพทย์ อย่าปล่อยให้อาการรุนแรง
นายกรัฐมนตรีย้ำให้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาโควิด โดยทุกคนต้องมีความรับผิดชอบต่อกันและกัน เพื่อให้ครอบครัวและชุมชนปลอดภัย ซึ่งการร่วมมือกันของทุกฝ่ายเพื่อสู้โควิดคือ “รวมใจ ไทยสร้างชาติ” ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ทั้งตำรวจ ทหาร พลเรือน ภาคประชาสังคม เพราะทุกคนเป็นคนไทย และหากมีสิ่งใดที่หน่วยทหารสามารถสนับสนุนช่วยเหลือได้ ก็ขอให้ช่วยอย่างเต็มที่ วันนี้คนไทยทุกคนต้องรวมพลังกันเอาชนะโควิดให้ได้ ถ้าทุกคนร่วมมือกัน มีความรัก ความสามัคคีกัน ก็จะแก้ได้ทุกปัญหา ปัญหาของประเทศต้องแก้ให้ได้ด้วยน้ำมือของคนไทยทุกคน
นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายว่า ทุกประเทศชื่นชมประเทศไทย แต่วันนี้มีปัญหาเกิดขึ้น ดังนั้นต้องช่วยกันอุดรูรั่วทุกรูด้วยความร่วมมือร่วมใจกันสมัครสมานสามัคคีกัน ขออย่าต่อว่ากันไปมา นายกฯ ขอเป็นกำลังใจให้กับชาวพัทยา บุคลากรสาธารณสุข รวมทั้งภาคเอกชนที่ได้รับความเดือดร้อนในช่วงนี้ โดยทุกฝ่ายต้องรวมพลังช่วยกันแก้ปัญหาไปด้วยกัน สร้างความเชื่อมั่นให้คนมาเที่ยวประเทศไทย แล้วทุกอย่างจะเดินหน้าไปได้ พร้อมย้ำว่า “ต้องชนะโควิดให้ได้”
อนึ่ง นายแพทย์อภิรัต กตัญญุตานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ได้รายงานสรุปสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ของ จ.ชลบุรี ว่า ผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ของ จ.ชลบุรีช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมามี 107 ราย รวมกับผลที่ออกมาช่วงบ่ายวันนี้อีก 36 ราย เป็น 143 ราย ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นเพศชาย โดยในส่วนของการเตรียมสถานที่สำหรับ State Quarantine Alternative Local Quarantine และ Local Quarantine ได้มีการบูรณาการร่วมของหน่วยงานทุกภาคส่วนใน จ.ชลบุรี กองทัพเรือ และส่วนกลาง เป็นอย่างดี
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38021 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชนฯ ครั้งที่ 2/2564 | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชนฯ ครั้งที่ 2/2564
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชนฯ ครั้งที่ 2/2564
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน “มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน” ครั้งที่ 2/2564 โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
งาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน “มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน” เป็นกิจกรรมที่กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางธุรกิจจากการระบาดของโรคโควิด 19 ให้สามารถจำหน่ายสินค้าได้ และเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถหาซื้อสินค้าดี มีคุณภาพ และได้มาตรฐานในราคาโรงงาน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือไม่ให้ประชาชนรับภาระจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยงานดังกล่าวกำหนดจัดขึ้น ในระหว่างวันที่ 22 - 25 ธันวาคม 2563 เวลา 10.00 – 19.00 น. ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37183 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นฤมล ชวน สปก.ร่วมส่งเสริม Zero Accident ในการทำงาน | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
นฤมล ชวน สปก.ร่วมส่งเสริม Zero Accident ในการทำงาน
รมช.แรงงาน เผย สถิติสถานประกอบกิจการ ร่วมกิจกรรม Zero Accident Campaign เพิ่มขึ้นทุกปี หวังให้ทุกภาคส่วนเป็นส่วนหนึ่งช่วยลดอุบัติเหตุจากการทำงาน
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า กิจกรรมการรณรงค์ลดอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ หรือ Zero Accident Campaign 2020 ที่จัดขึ้นโดย สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) หรือ สสปท. เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งปีนี้เข้าสู่ปีที่ 20 โดยนำหลักการและแนวคิดจากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศญี่ปุ่น มาปรับให้เหมาะกับประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการร่วมป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน บนพื้นฐานแนวคิดที่ว่า อุบัติเหตุที่มีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับการทำงานสามารถป้องกันได้ โดยการลดสถิติการประสบอันตรายในสถานประกอบกิจการให้เป็นศูนย์ ผ่านการวางแผนและบริหารจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย เพื่อให้แรงงานมีความปลอดภัยและมีสุขภาพอนามัยที่ดี สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล รวมถึงยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศ ภายใต้โครงการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand) โดยมีเป้าหมายในการลดอุบัติเหตุและโรคจากการทำงานอย่างยั่งยืน
รมช. แรงงาน กล่าวต่อว่า สสปท. รายงานว่า ในระหว่างปี 2562 ถึง 2563 มีจำนวนสถานประกอบกิจการที่เข้าร่วมโครงการและได้รับการรับรองเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 23.72 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยและลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ โดยในปี 2564 จะประชาสัมพันธ์กิจกรรมดังกล่าว ให้สถานประกอบกิจการมากขึ้นผ่านการ Live จาก สสปท. ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานประกอบกิจการรายเก่าที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมให้สานต่อกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพิ่มช่องทางให้สถานประกอบกิจการ กลุ่ม SME ได้เข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น ตลอดจนการเชิญวิทยากรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย หรือผู้รับผิดชอบโครงการที่ได้รับการประกาศเกียรติคุณระดับสูง ได้บอกเล่ามาตรฐานความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ เพื่อเป็นข้อมูลให้หน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป
สถานประกอบกิจการที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม Zero Accident Campaign 2020 กับทาง สสปท. สามารถดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ www.tosh.or.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 0 2448 9111
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37151 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
การจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลอนุมัติหลักการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง ให้เป็นหน่วยงานของรัฐประเภทองค์การมหาชน เพื่อเป็นองค์กรหลักในการบริหารจัดการด้านการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี การต่อยอดเทคโนโลยี การวิจัย และส่งเสริมอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในระบบการขนส่งทางราง บูรณาการระหว่างหน่วยงาน รวมทั้งส่งเสริมงานวิจัย ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีระบบรางจากต่างประเทศ พัฒนาคนไทยให้มีความรู้ด้านรางเทียบเท่าประเทศที่มีความเจริญในระบบขนส่งทางราง ซึ่งในอนาคตจะเป็นระบบการขนส่งหลักของประเทศเชื่อมต่อกับระบบการขนส่งทุกระบบ รวมทั้งเตรียมการในด้านการวิจัยและพัฒนาใน 5-10 ปีข้างหน้า และเตรียมพร้อมเป็นศูนย์กลางระบบรางในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37144 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 18 - 26 พฤศจิกายน 2563 พบการกระทำผิด จำนวน 616 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.13 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 18 - 26 พฤศจิกายน 2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 616 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.13 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 330 คดี ค่าปรับ 3.17 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 193 คดี ค่าปรับ 4.63 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 20 คดี ค่าปรับ 0.14 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 34 คดี ค่าปรับ 1.04 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 5 คดี ค่าปรับ 0.25 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 23 คดี ค่าปรับ 0.48 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 11 คดี ค่าปรับ 2.42 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 1,797.725 ลิตร ยาสูบ จำนวน 7,989 ซอง ไพ่ จำนวน 841 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 29,653.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 9,978 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 43 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 26 พฤศจิกายน 2563 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 4,686 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 86.47 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 2,616 คดี ค่าปรับ 25.60 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 1,494 คดี ค่าปรับ 34.68 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 129 คดี ค่าปรับ 1.36 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 142 คดี ค่าปรับ 7.29 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 20 คดี ค่าปรับ 0.67 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 187 คดี ค่าปรับ จำนวน 5.02 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 98 คดี ค่าปรับ 11.85 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 77,423.880 ลิตร ยาสูบ จำนวน 121,699 ซอง ไพ่ จำนวน 8,966 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 228,017.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 57,981 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 259 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37154 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง
ความคืบหน้าของโครงการคนละครึ่งว่า ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 เวลา 12.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 8.5 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 9,493,942 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 28,609 ล้านบาท
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการคนละครึ่งว่า ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 เวลา 12.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 8.5 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 9,493,942 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 28,609 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 14,599 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 14,010 ล้านบาท ซึ่งจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามลำดับ
สำหรับประชาชนที่ลงทะเบียนในเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 และได้รับ SMS ยืนยันสิทธิแล้ว ขอให้รีบติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” พร้อมยืนยันตัวตนให้เรียบร้อย โดยขอให้เริ่มใช้สิทธิในการใช้จ่ายโดยเร็วภายใน 14 วัน นับจากวันถัดจากวันที่ได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
รองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทยมีการติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยได้ระงับสิทธิการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และระงับการจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการนำส่งข้อมูลหลักฐานการกระทำความผิดให้แก่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อใช้สำหรับการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงขอความร่วมมือประชาชนและร้านค้าให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการ และอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนตามโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เป็นการดำเนินการผิดเงื่อนไขโดยไม่มีการใช้จ่ายซื้อสินค้าจริงอย่างเด็ดขาด เพราะอาจตกเป็นเหยื่อในการสนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดซึ่งจะมีโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปด้วย
โครงการคนละครึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37156 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.เป็นประธานเปิดงาน " เพลินศิลป์ถิ่นเยาวราช "(The Charity Dinner in Chinatown) | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
ผู้ช่วยรมว.เป็นประธานเปิดงาน " เพลินศิลป์ถิ่นเยาวราช "(The Charity Dinner in Chinatown)
ผู้ช่วยรมว.เป็นประธานเปิดงาน " เพลินศิลป์ถิ่นเยาวราช "(The Charity Dinner in Chinatown)
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน " เพลินศิลป์ถิ่นเยาวราช "(The Charity Dinner in Chinatown) โดยมี นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม คุณศิริลักษณ์ ไม้ไทย กรรมการบริษัท เพลินบุญ ทราเวล จำกัด และประธานกรรมการมูลนิธิเอ็มซีดส์เพื่อการพัฒพาภาวะผู้นำสู่ความยั่งยืน คุณลลิสา จงบารมี ประธานมูลนิธิธารศิลป์ รักษ์จิตรกร นายวินัย พันธุรักษ์ ศิลปินแห่งชาติ เครือข่ายศิลปิน ผู้แทนหน่วยภาครัฐ ภาคเอกชน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน ณ คอตตอน บอลรูม ชั้น ๖ โรงแรมเซี่ยงไฮ้แมนชั่น ถนนเยาวราช กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37149 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบผู้ป่วยโควิด 2 รายจังหวัดเชียงราย เป็นเพื่อนร่วมงานผู้ป่วยหญิงเชียงใหม่ | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
สธ.พบผู้ป่วยโควิด 2 รายจังหวัดเชียงราย เป็นเพื่อนร่วมงานผู้ป่วยหญิงเชียงใหม่
สธ.พบผู้ป่วยโควิด 2 รายจังหวัดเชียงราย เป็นเพื่อนร่วมงานผู้ป่วยหญิงเชียงใหม่
กระทรวงสาธารณสุข เผยความคืบหน้าติดตามผู้สัมผัสกับผู้ป่วยโควิด 19 เพศหญิงจังหวัดเชียงใหม่ มี 328 ราย ผลตรวจออกแล้ว 152 ราย ยังไม่พบติดเชื้อ ส่วนเชียงรายพบผู้ป่วยโควิด 19 อีก 2 ราย เป็นเพื่อนร่วมงานของหญิงเชียงใหม่ ลักลอบเข้าประเทศเช่นกัน เผยมีผู้สัมผัสน้อย เหตุอยู่ที่พักเป็นส่วนใหญ่ และไปโรงพยาบาลทันที ทำให้โอกาสแพร่กระจายเชื้อต่ำ ขอคนไทยกลับเข้าประเทศช่องทางถูกกฎหมาย ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา และคงมาตรการป้องกันโรค
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวความคืบหน้ากรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า กรณีหญิงไทยอายุ 29 ปี ติดเชื้อโควิด 19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการลักลอบเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ล่าสุดพบผู้ป่วยเพิ่มเติม 2 รายที่จังหวัดเชียงราย มีความเกี่ยวเนื่องกันกับรายที่จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ ประเทศเพื่อนบ้านมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างมาก ทำให้คนไทยในประเทศเพื่อนบ้านอยากเดินทางกลับเข้ามา จึงขอให้กลับเข้ามาในช่องทางที่ถูกต้องเพื่อเข้ารับการกักตัว 14 วัน นอกจากไม่ผิดกฎหมายแล้ว หากพบการติดเชื้อจะได้รับการรักษา ไม่ทำให้เชื้อแพร่ไปสู่คนในครอบครัวและชุมชน และขอฝากให้ประชาชนพื้นที่ชายแดนช่วยกันเป็นหูเป็นตา โดยเฉพาะเจ้าของบ้าน คอนโด โรงแรม โรงงาน และสถานบันเทิง หากพบคนไทยหรือคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยไม่ผ่านการกักตัว 14 วัน ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่โดยเร็ว และย้ำให้ประชาชนยังคงสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และสแกนไทยชนะ ซึ่งทำให้สามารถติดตามผู้สัมผัสได้ง่ายขึ้น
ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า จากการติดตามผู้สัมผัสผู้ป่วยโควิด 19 เพศหญิงอายุ 29 ปี จังหวัดเชียงใหม่ มีทั้งหมด 328 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 107 ราย ตรวจแล้ว 69 ราย ไม่พบเชื้อ (คอนโดผู้ป่วย 2 ราย คอนโดเพื่อน 2 ราย สถานบันเทิง 55 ราย ห้างสรรพสินค้า 6 ราย รถโดยสารปรับอากาศเชียงใหม่ 1 ราย และคนขับรถ Grab Car 3 ราย) สัมผัสเสี่ยงต่ำ 149 ราย ตรวจแล้ว 83 ราย ไม่พบเชื้อ (สถานบันเทิง 2 ราย ห้างสรรพสินค้า 25 ราย บุคลากรโรงพยาบาลเอกชน 9 ราย และคอนโดผู้ป่วย 47 ราย) ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างรอผลการตรวจและติดตาม โดยทั้งหมดยังต้องกักกันและเฝ้าระวังอาการจนครบ 14 วัน ทั้งนี้ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ได้กำหนดมาตรการป้องกันโรคในสถานที่ชุมนุมชนทุกแห่ง ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และการสแกนไทยชนะ หากสถานประกอบการ/ ร้านไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจะถูกดำเนินการอย่างเคร่งครัด รวมถึงการสั่งปิดกิจการชั่วคราว
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สำหรับผู้ติดเชื้อ 2 รายที่จังหวัดเชียงราย เป็นหญิงไทยอายุ 26 ปี และ 23 ปี ทำงานในสถานบันเทิงในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เป็นเพื่อนร่วมงานกับหญิงอายุ 29 ปีติดโควิด 19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยลักลอบเดินทางเข้าทางช่องทางธรรมชาติอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้สัมผัส 27 ราย แบ่งเป็นสัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย คือหญิงไทยอายุ 23 ปีที่เดินทางกลับมาด้วยกัน โดยวันที่ 29 พฤศจิกายน มีอาการไอ เจ็บคอ น้ำมูก เมื่อตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อโควิด 19 ถูกนำตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาล พนักงานโรงแรมที่ขับพาไปร้านสะดวกซื้อ 1 ราย รถจักรยานยนต์รับจ้างจากหมู่บ้านไปอำเภอแม่สาย 1 ราย ทั้งคู่รอผลตรวจเชื้อ ส่วนรถจักรยานยนต์รับจ้างที่พาไปอำเภอเมือง 1 ราย ไม่พบเชื้อ ที่เหลือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 23 ราย คือบุคลากรทางการแพทย์ 20 ราย และชุมชน 3 ราย คือ แม่ค้าร้านอาหาร/ร้านขายของชำ พนักงานร้านสะดวกซื้อ และพนักงานโรงแรม ทั้งนี้ ถือว่ามีโอกาสแพร่เชื้อต่ำ เนื่องจากส่วนใหญ่อยู่ในโรงแรมที่พักและไปโรงพยาบาลเร็ว ทำให้มีผู้สัมผัสน้อย
คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงรายได้กำหนดมาตรการป้องกันโรคในสถานที่ชุมชน เฝ้าระวังช่องทางเข้าออก โดยจัดระเบียบการขนส่งและสุ่มตรวจพนักงานขับรถชาวเมียนมา กำหนดมาตรการรองรับผู้กลับมาจากประเทศเมียนมา โดยเตรียมสถานที่กักกันโรคที่ราชการกำหนด กักกันอย่างน้อย 14 วัน สื่อสารให้ผู้ที่ลักลอบมาจากต่างประเทศเข้าสู่ระบบการตรวจคัดกรองและรักษา โดยให้รายงานตัวกับ อสม. รพ.สต. หรือผู้ใหญ่บ้าน และสำรวจจำนวนคนไทยในฝั่งท่าขี้เหล็กและต้องการกลับประเทศ เพื่อเตรียมการดำเนินการรับกลับอย่างปลอดภัยและดำเนินการกับผู้นำพาคนลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย
************************** 30 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37177 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผย “จุฬาเอาด้วย” กัญชาทางการแพทย์ มุ่งวิจัยและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สาธารณชน | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
อนุทิน เผย “จุฬาเอาด้วย” กัญชาทางการแพทย์ มุ่งวิจัยและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สาธารณชน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตัดดอกกัญชาที่จุฬาเอาด้วย ปลูกเพื่อใช้ทางการแพทย์ ปลอดภัยได้มาตรฐาน ไร้สารตกค้าง มุ่งถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตัดดอกกัญชาที่จุฬาเอาด้วย ปลูกเพื่อใช้ทางการแพทย์ ปลอดภัยได้มาตรฐาน ไร้สารตกค้าง มุ่งถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชน
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) ที่ ศูนย์วิจัยยาเสพติด โครงการพัฒนาที่ดินจุฬา-สระบุรี จ.สระบุรีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การพัฒนากัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษา รวมถึงสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประชาชน การที่วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พัฒนาสายพันธุ์ไทย พัฒนาการปลูกในรูปแบบชีวภาพ ตั้งแต่การผสมดิน ปุ๋ย เพาะเมล็ด การไล่แมลง การลดสารปนเปื้อนทั้งในดินและในต้น ให้ได้สารสำคัญจากกัญชาที่ปลอดภัยนำไปรักษาโรค และเพื่อนำองค์ความรู้ในการปลูก วิจัยพัฒนาสายพันธุ์ไปถ่ายทอดไปยังประชาชน ยังช่วยผลักดันนโยบายกระทรวงสาธารณสุขและช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ากัญชาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้จริง
นายอนุทินกล่าวต่อว่า กัญชาที่ทางจุฬานำมาปลูกนั้นเป็นกัญชาสายพันธุ์ไทยจาก 9 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ สกลนคร มุกดาหาร นครราชสีมา เพชรบุรี นครศรีธรรมราช และตรัง ที่นักวิชาการได้ลงพื้นมาศึกษาวิจัยโดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในการเก็บเมล็ดและลำต้น และสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ พบว่ามีอยู่ 6 สายพันธุ์หลัก เพื่อนำมาเพาะปลูก วิจัยและพัฒนา โดยการปลูกมีทั้งระบบเปิด ระบบปิด และระบบโรงเรือน เพื่อพัฒนาสายพันธุ์ที่เหมาะสม และทราบปริมาณสารสำคัญแต่ละชนิดเพื่อนำไปวิจัยพัฒนาต่อยอด และนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
พร้อมกันนี้ นายอนุทิน ได้ร่วมตัดช่อดอกกัญชารุ่นที่ 1 และปลูกรุ่นที่ 2 ของโครงการ และเป็นพยานการลงนามความร่วมมือระหว่างจังหวัดสระบุรี และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในด้านวิชาการกัญชาทางการแพทย์ มุ่งเน้นให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการ เผยแพร่ ถ่ายทอดองค์ความรู้ และการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพืชกัญชา เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์สาธารณสุข
ทั้งนี้ จังหวัดสระบุรีเป็น 1 ใน 14 จังหวัด เมืองสมุนไพร เนื่องจากมีภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูก และมีโรงงานผลิตยาสมุนไพรที่ผ่านมาตรฐาน GMP ได้แก่ โรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา และโรงพยาบาลหนองโดน
************************** 30 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37180 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนเฉพาะกิจแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
แผนเฉพาะกิจแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง
วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบแผนเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ปี 2563 ประกอบด้วย 1) การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง เพื่อกำกับดูแลและรับมือสถานการณ์ 3) การบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า โดยใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุในป่า และการบริหารจัดการเชื้อเพลิงใน 17 จังหวัดภาคเหนือ 4) สร้างเครือข่าย อาสาสมัคร เป็นกลไกติดตาม เฝ้าระวัง และดับไฟ 5) เร่งขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ให้ครบ 76 จังหวัด ภายในปี 2570 6) ถ่ายโอนภารกิจการควบคุมไฟป่าให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และ7) การพยากรณ์ฝุ่นละอองล่วงหน้า 3 วัน เพื่อแจ้งเตือนประชาชน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37145 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอนำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
บีโอไอนำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
บีโอไอนำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 3 จากซ้าย)
นำคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่บีโอไอ และสื่อมวลชนสายอุตสาหกรรม เยี่ยมชมและรับฟังการบรรยายจากผู้บริหารของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด และบริษัท แนบโซลูท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ โดยมี ผศ.ภญ.ดร.รุ่งเพ็ชร สกุลบำรุงศิลป์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้บริหารจากบริษัท
ซียู ฟาร์มาซี เอ็นเตอร์ไพรส์ และคณาจารย์ ให้การต้อนรับ ณ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเร็วๆ นี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37174 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล ร่วมมือ หน่วยงานรัฐ-เอกชน จัดงาน“ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม” เทิดพระเกียรติ “สมเด็จพระพันปีหลวง” ๒๗ พ.ย. – ๑ ธ.ค.นี้ ร่วมอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอด พร้อมผลักดันผ้าไทยสู่สากล | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
รัฐบาล ร่วมมือ หน่วยงานรัฐ-เอกชน จัดงาน“ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม” เทิดพระเกียรติ “สมเด็จพระพันปีหลวง” ๒๗ พ.ย. – ๑ ธ.ค.นี้ ร่วมอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอด พร้อมผลักดันผ้าไทยสู่สากล
รัฐบาล ร่วมมือ หน่วยงานรัฐ-เอกชน จัดงาน“ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม” เทิดพระเกียรติ “สมเด็จพระพันปีหลวง” ๒๗ พ.ย. – ๑ ธ.ค.นี้ ร่วมอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอด พร้อมผลักดันผ้าไทยสู่สากล
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ที่ลานพาร์คพารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน“ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม” (Thai Treasures) โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ผู้บริหารบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารบริษัทบิวตี้ เจมส์ และผู้แทนหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
นายอิทธิพล กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับศูนย์การค้าสยามพารากอน และภาคีเครือข่ายหน่วยงานรัฐและเอกชน จัดงาน “ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม” (Thai Treasures) ระหว่างวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน – ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ ลานพาร์คพารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๓ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่ทรงสนับสนุน ส่งเสริมให้ประชาชนชาวไทยเห็นคุณค่าของผ้าไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์ สืบสาน รักษา และต่อยอดมรดกภูมิปัญญาให้คงอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทยและก้าวไกลไปสู่ระดับสากล
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า “ผ้าไทย” ถือเป็นสมบัติคู่ชาติมายาวนานนับร้อยปี และตลอดระยะเวลากว่า ๔๐ ปีที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการด้วยพระราชปณิธานที่จะพัฒนาประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ซึ่งการจัดงานครั้งนี้จึงเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์และสืบสานมรดกภูมิปัญญาอันล้ำค่าไม่ให้สูญหายไป และสามารถสร้างรายได้แก่ชุมชนท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันผ้าไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล ปรากฏเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยและเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่พสกนิกรชาวไทยรู้สึกน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
ทั้งนี้ ภายหลังพิธีเปิดงานมีการเดินแบบแฟชั่นโชว์ผ้าไทยจำนวน ๓๘ ชุด ซึ่งเป็นผลงานจากการออกแบบของดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นมีความหลากหลายทั้งเส้นใย กรรมวิธี และสีสันลวดลายสวยงาม และตัดเย็บที่ทันสมัย นำโดยนางแบบชื่อดัง ตะวัน จิรัชญา เกตุคง ผู้ชนะ Asia’s Next Top Model Cycle 4 แสดงแบบร่วมกับเครื่องประดับจาก บริษัทบิวตี้ เจมส์ จำกัด และร่วมรับฟังเพลงจากนักร้องชื่อดัง รัดเกล้า อามระดิษ นอกจากนี้ ตลอดการจัดงานตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน – ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ มีกิจกรรมมากมาย อาทิ การเสวนาเกี่ยวกับผ้าไทย โดย ดีไซน์เนอร์ นักออกแบบแฟชั่นร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และกิจกรรมสาธิต (Workshop) งานผ้า โดยช่างฝีมือจากท้องถิ่น เช่น การทำผ้ามัดย้อม ผ้าบาติก เป็นต้น
นอกจากนี้ มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand : CPOT) จากชุมชนคุณธรรมและเครือข่ายผู้ประกอบการทางวัฒนธรรมจาก ๔ ภูมิภาคกว่า ๒๐ ชุมชน มาร่วมสาธิตและ ออกร้านจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมไทยทั้งผ้าทอ ผ้าปักพื้นประเภทต่าง ๆ เครื่องเงินสุโขทัย เครื่องถมนครศรีธรรมราช ที่หาชมได้ยาก อีกทั้ง มีการจัดนิทรรศการและออกบูธจากททท. แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและโปรโมทชั่น ภายใต้แนวคิด “ไทยเที่ยวไทย” สอบถามรายละเอียดได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ หรือ www.m-culture.go.th
----------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37148 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมือก.ท่องเที่ยว ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรูปแบบใหม่ เน้นวิถีถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด 19 | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
สธ.จับมือก.ท่องเที่ยว ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรูปแบบใหม่ เน้นวิถีถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด 19
สธ.จับมือก.ท่องเที่ยว ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรูปแบบใหม่ เน้นวิถีถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขับเคลื่อนนโยบายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างเส้นทางการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ 4 ภาค มีมาตรฐาน สะดวกสบาย ปลอดภัย สะอาด บริการเป็นเลิศ ในราคาปันสุข กระตุ้นคนไทยและต่างชาติท่องเที่ยวในประเทศ ภายหลังวิกฤตโรคโควิด 19 พร้อมจัดงาน “เที่ยวเมืองไทย สุขภาพดี วิถีถิ่น 2020” ระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม นำร่องพื้นที่กรุงเทพมหานคร พาทัวร์วัดโพธิ์
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) ที่บ้านยาหอม เขตพระนคร กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ โครงการสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม ให้สัมภาษณ์ระหว่างนำสื่อมวลชนศึกษาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร “Hidden Gem in Bangkok” เส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในกรุงเทพมหานครที่ต้องเช็กอิน ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรูปแบบใหม่ที่จะส่งเสริมให้ประชาชนออกมาท่องเที่ยวภายหลังวิกฤตโควิด 19 ในราคาปันสุข
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของไทย โดยปี 2562 มีอัตราการใช้บริการด้านการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ประมาณ 16.1 ล้านครั้ง แบ่งเป็นบริการด้านการแพทย์ 3.6 ล้านครั้ง และบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 12.5 ล้านครั้ง เกิดรายได้สูงถึง 450,200 ล้านบาท (บริการด้านการแพทย์ 41,000 ล้านบาท และบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 409,200 ล้านบาท) คิดเป็นประมาณร้อยละ 15.6 ของรายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวม เกิดการจ้างงานกว่า 539,195 คน แม้ปัจจุบันจะได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 แต่โรคนี้เป็นตัวแปรสำคัญที่กระตุ้นให้คนหันมาให้ความสำคัญเรื่องการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น ขณะที่ Global COVID-19 Index (GCI) จัดให้ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 การฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคโควิด 19 อยู่ในกลุ่มเรตติ้ง 5 คือ ประเทศที่บรรเทาการระบาดของไวรัสได้ก้าวหน้าที่สุดในโลก จึงเป็นโอกาสดีของประเทศไทยในการสร้างมูลค่าจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกรมการท่องเที่ยว ได้ร่วมกันจัดงาน “เที่ยวเมืองไทยสุขภาพดี วิถีถิ่น 2020 (Thailand Travel)” ระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม 2563 ที่ชั้น G เมืองสุขสยาม ไอคอนสยาม ซึ่งภายในงานได้รวบรวมเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพราคาปันสุขมาจำหน่าย ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่มีทั้งมาตรฐาน ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย สะอาด และการให้บริการเป็นเลิศเพื่อรองรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายหลังวิกฤตโรคโควิด 19
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ภายในงานเที่ยวเมืองไทยสุขภาพดี วิถีถิ่น 2020มีการรวบรวมเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยคัดวิถีและจำลองแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่โดดเด่น 4 ภูมิภาคมาเป็นไฮไลท์ในการจัดงาน โดยภาคกลางจัดงานในรูปแบบ Half Day Trip : The Hidden Gem in Bangkok เส้นทางศาสตร์เพื่อสุขภาพและการบำบัดตามรอยหมอไทย ยาไทย ในราคาพิเศษ มุ่งกระตุ้นให้คนไทยและชาวต่างชาติได้ใช้วันหยุดพักผ่อนแบบไม่ต้องเดินทางไกล ถ่ายรูปเช็คอินในสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามทั้งสถาปัตยกรรมและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ อิ่มอร่อยกับอาหารไทยหาทานยาก ผ่อนคลายกับศาสตร์การแพทย์แผนไทยที่เดินทางง่าย สะดวกสบาย โดยเลือกการเดินทางได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งรถยนต์ รถไฟฟ้า และเรือ โดยใช้เวลาเพียงครึ่งวัน
นอกจากนี้ ยังจำลองเส้นทางท่องเที่ยวเมืองสมุนไพรในอีก 3 ภูมิภาค พร้อมแพคเกจท่องเที่ยวราคาพิเศษ ได้แก่ ภาคเหนือ เช่น จ.เชียงราย เส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อาหาร ผลิตภัณฑ์และมรดกภูมิปัญญา ทั้งการจำลองโฮงฮอมผญ๋า โฮงยาหมอเมืองล้านนา ชมทะเลหมอก ชา กาแฟและชาติพันธุ์จ.พิษณุโลก เส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อสุขภาพ ชมตลาด 120 ปีวิถีชาววัง ภาคใต้ เช่น จ.สงขลา เส้นทางล่องทะเลสาบสงขลาลากูนหนึ่งเดียวในประเทศไทย ย้อนเวลาเมืองเก่าสงขลา 3 ยุคพหุวัฒนธรรม สาธิตการคั่วชาใบขลู่ กับแหล่งท่องเที่ยวห้อยขาจิบชาใบขลู่ แหล่งปลากะพง 3 น้ำ ที่อร่อยที่สุด จ.พัทลุง เส้นทางท่องเที่ยวกัญชาทางการแพทย์และแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ชวนแช่น้ำแร่สุดฟิน และภาคอีสาน เช่น จ.อุดรธานี เชิญท่องทะเลบัวแดง และกิจกรรมนวดแช่เท้าด้วยดอกเกลือนาคราช จ.สกลนคร เส้นทางกัญชาทางการแพทย์และแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น ถือเป็นการส่งมอบความสุขและของขวัญให้คนไทยได้เตรียมวางแผนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรับปีใหม่ 2564
นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ โครงการสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม กล่าวว่า เมืองสุขสยามได้เนรมิตบริเวณลานเมือง 1-2 จำลองบรรยากาศเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย 4 ภาค ที่แต่ละจังหวัดพร้อมเปิดบ้านเปิดเมืองให้สัมผัสธรรมชาติ วิถีชุมชน วัฒนธรรม เรียนรู้วิธีการรักษาสุขภาพกายใจด้วยสมุนไพรและธรรมชาติบำบัด พร้อมจัดโปรโมชั่นแพคเกจท่องเที่ยวราคาสุดคุ้มให้แก่ผู้มาชมงานได้เลือกซื้อในราคาพิเศษเฉพาะงานนี้ นอกจากนี้ แต่ละจังหวัดยังจัดเตรียมกิจกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และมรดกภูมิปัญญาไทยของแต่ละภูมิภาค รวมถึงภูมิปัญญาพื้นบ้านจาก 4 ภาค ให้ได้ร่วมกิจกรรมเสมือนได้ไปแหล่งท่องเที่ยวนั้นจริงๆ ทั้งเที่ยวชมบรรยากาศ วางแผนท่องเที่ยวรับปีใหม่ใช้เวลากับครอบครัว และมาชม ชิม และผ่อนคลายกับกิจกรรมเพื่อสุขภาพและการบำบัดผ่อนคลาย
************************************* 30 พฤศจิกายน 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37162 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ เรียก หน.ส่วนราชการกระทรวงแรงงาน 21 จังหวัดภาคกลาง รับนโยบายเดินหน้า Co-Payment มุ่งพลิกฟื้นสถานประกอบการ | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
‘จับกัง1’ เรียก หน.ส่วนราชการกระทรวงแรงงาน 21 จังหวัดภาคกลาง รับนโยบายเดินหน้า Co-Payment มุ่งพลิกฟื้นสถานประกอบการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ประชุมหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน ในพื้นที่ภาคกลาง 21 จังหวัด มอบนโยบายการดำเนินโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) พร้อมเชิญนายจ้าง/สถานประกอบการ 235 บริษัท
รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ และเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการ เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยได้รับผลกระทบจากโควิด -19 กระทรวงแรงงานจึงมุ่งมั่นส่งเสริม และขยายโอกาสมีงานทำของผู้ที่จบการศึกษาใหม่ ประชาชนทั่วไป และผู้ว่างงาน เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว
นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า การรับทราบสภาพปัญหาข้อเท็จจริงจากการปฏิบัติงานในพื้นที่ และรับฟังข้อเสนอแนะจากมุมมองนายจ้าง/สถานประกอบการ ในการดำเนินโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) เป็นเรื่องที่กระทรวงแรงงานให้ความสำคัญ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการส่งเสริมให้ผู้จบการศึกษาใหม่กับนายจ้าง/สถานประกอบการบรรลุข้อตกลงร่วมกัน และนำไปสู่การจ้างงานตามโครงการฯโดยเร็วที่สุดตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จำนวน 260,000 อัตรา จึงได้เชิญนายจ้าง/สถานประกอบการที่อยู่ในพื้นที่ภาคกลาง จำนวน 235 บริษัท เข้าร่วมประชุม พร้อมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานภาคกลาง ทั้ง 5 หน่วย ประกอบด้วยสำนักงานแรงงานจังหวัด สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด สถาบันหรือสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด และสำนักงานประกันสังคมจังหวัด รวม 21 จังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อมอบนโยบายการดำเนินโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment)
ด้านอธิบดีกรมการจัดหางาน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) นั้น คาดหวังให้ผู้จบการศึกษาใหม่ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานใหม่ มีงานทำ มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีทักษะและประสบการณ์ในการทำงาน และสามารถดำรงชีวิตในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ได้อย่างราบรื่น อีกทั้งช่วยสนับสนุนและส่งเสริมภาคเศรษฐกิจ ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการให้สามารถเปิดดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ลดต้นทุนการดำเนินกิจการ และสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้ประเทศ
“สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ ผู้ที่กำลังมองหางานทำ และนายจ้าง/สถานประกอบการ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com หรือติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ในพื้นที่ใกล้บ้าน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37178 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” จับมือ DUGA เตรียมความพร้อมจัดงาน Smart City Summit 2021 | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
“ดีอีเอส” จับมือ DUGA เตรียมความพร้อมจัดงาน Smart City Summit 2021
“ดีอีเอส” จับมือ DUGA เตรียมความพร้อมจัดงาน Smart City Summit 2021
30 พ.ย.63 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นประธานที่ปรึกษาและเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาโครงการ Smart City 2021 ตามที่กระทรวงดิจิทัลฯ และสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย (DUGA) ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงาน Smart City Summit 2021 โดยมีกำหนดจัดงานขึ้นในระหว่างวันที่ 28-29 เมษายน 2564 ซึ่งรูปแบบการจัดงาน เป็นการสัมมนาวิชาการ การแสดงนวัตกรรมดิจิทัลเทคโนโลยี การเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภาครัฐและเอกชน และการสัมมนาวิชาการนำเสนอหัวข้อเทคโนลยีและโซลูชั่น ทั้งนี้เพื่อผลักดันนโยบาย Smart City หรือเมืองอัจฉริยะ ที่มุ่งพัฒนาให้เกิดขึ้นในประเทศไทยตามนโยบาย 4.0 ของรัฐบาล เพื่อเชื่อมโยงเมืองด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม ในการอำนวยความสะดวก และเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ณ ห้องประชุม 701 ชั้น 7 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
***************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37163 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงข่าวพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2563 (The Prime Ministry Award 2020) | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
แถลงข่าวพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2563 (The Prime Ministry Award 2020)
แถลงข่าวพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2563 (The Prime Ministry Award 2020)
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานในงานแถลงข่าวพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2563 (The Prime Minister's Industry Award 2020) ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจัดขึ้นเป็นปีที่ 28 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจใหม่ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมี นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยผลการพิจารณาคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2563 มีผู้ประกอบการได้รับการพิจารณาคัดเลือก จำนวน 79 รางวัล พร้อมรางวัลชมเชย 5 รางวัล แบ่งออกเป็น รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม 1 รางวัล โดย บริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ได้รับรางวัลในปีนี้ รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 48 รางวัล และรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น 30 รางวัล สำหรับการจัดพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2563 กำหนดจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 เวลา 13.30 น. ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37182 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2563 | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2563
“ดัชนี RSI เดือนพฤศจิกายน 2563 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมของภาคใต้ อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลยังค่อนข้างทรงตัว”
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่เป็นการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัด จากสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค พบว่า “ดัชนี RSI เดือนพฤศจิกายน 2563 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมของภาคใต้ อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลยังค่อนข้างทรงตัว”
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ระดับ 70.5 แสดงถึงการคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 7 จากปัจจัยสนับสนุนของภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม โดยในภาคอุตสาหกรรมคาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวทั้งในและต่างประเทศประกอบกับมาตรการภาครัฐที่ยังคงสนับสนุนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาคเกษตรกรรมคาดว่าจะมีการเก็บเกี่ยวปาล์มเพิ่มขึ้นประกอบกับมีแนวโน้มความต้องการยางพาราในการผลิตถุงมือแพทย์และผลิตภัณฑ์ยางต่างๆ มากขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ เช่น การใช้น้ำมันปาล์มเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และการส่งเสริมไบโอดีเซล เป็นต้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ระดับ 69.7 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 เช่นกัน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นโดยมีภาคเกษตรและภาคการจ้างงานเป็นปัจจัยสนับสนุน เนื่องจากผลผลิตสินค้าเกษตรโดยรวม อาทิ ข้าว ยางพารา และ สับปะรด มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอ ประกอบกับมีการส่งเสริมการจ้างงานของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูกรอบใหม่และเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ทำให้มีการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมและภาคบริการเพิ่มขึ้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตกอยู่ที่ 65.9 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นโดยมีภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะดีขึ้นเป็นลำดับส่งผลให้มีคำสั่งซื้อสินค้าทั้งในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมมากขึ้นจากทั้งความต้องการสินค้าในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งภาครัฐยังมีนโยบายสนับสนุนภาคเกษตรกรรมอย่างต่อเนื่อง สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 62.9 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยเฉพาะในภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น และรัฐบาลยังมีมาตรการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมด้านเงินทุนและการพัฒนาด้านการผลิตซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าให้ดียิ่งขึ้น สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 62.4 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากภาคเกษตรกรรมกำลังเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวและมีนโยบายจากภาครัฐในการขับเคลื่อนและสนับสนุนภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งภาคอุตสาหกรรมยังได้แรงสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐ และการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์และโลจิสติกส์ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลางอยู่ที่ 56.7 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคบริการและภาคการเกษตร เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น ส่วนในภาคเกษตรกรรมคาดว่าสภาพอากาศจะเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 50.5 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ยังค่อนข้างทรงตัว แม้จะมีภาคอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่การลงทุนยังมีแนวโน้มชะลอตัว
ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2563 (ณ เดือนพฤศจิกายน 2563)
กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก
ดัชนีความเชื่อมั่น
อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 50.5 62.4 69.7 70.5 56.7 62.9 65.9
ดัชนีแนวโน้มรายภาค
1) ภาคเกษตร 53.0 70.1 74.9 75.0 57.0 61.3 67.3
2) ภาคอุตสาหกรรม 54.1 64.3 67.1 76.2 52.0 73.4 73.6
3) ภาคบริการ 50.9 63.6 67.9 71.3 67.9 61.5 63.7
4) ภาคการจ้างงาน 49.5 55.3 69.7 68.8 52.8 59.8 63.4
5) ภาคการลงทุน 44.9 58.7 68.7 61.4 53.7 58.6 61.8
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37155 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓ | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37165 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความเห็นต่อโครงการคนละครึ่ง | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
ความเห็นต่อโครงการคนละครึ่ง
จากการที่มีผู้ให้ความเห็นต่อโครงการคนละครึ่งว่าเป็นโครงการที่ดี ออกแบบมาให้ผู้ได้รับประโยชน์เป็นร้านค้าขนาดเล็กและประชาชนทั่วไป ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ และกระตุ้นใการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการที่มีผู้ให้ความเห็นต่อโครงการคนละครึ่งว่าเป็นโครงการที่ดี ที่มีการออกแบบมาให้ผู้ได้รับประโยชน์เป็นร้านค้าขนาดเล็ก และให้แก่ประชาชนทั่วไป ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ และกระตุ้นให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่ข้อจำกัดของโครงการ คือ ประชาชนลงทะเบียนไม่ทัน และผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนไม่สามารถเข้าถึงโครงการได้
กระทรวงการคลังขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาได้มีมาตรการต่างๆ เพื่อดูแลประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับการดูแลผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2560 โดยให้ความช่วยเหลือค่าครองชีพผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาทิ วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับผู้มีรายได้ไม่เกินกว่า 30,000 บาทต่อปี ได้รับ 300 บาทต่อเดือน และผู้ที่มีรายได้เกินกว่า 30,000 บาทแต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ได้รับ 200 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ ยังได้รับวงเงินสำหรับค่าโดยสารเดินทาง ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ได้แก่ ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า และค่าน้ำประปา เป็นต้น กว่า 1,500 บาทต่อเดือน
อย่างไรก็ดี เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นวงกว้าง รัฐบาลจึงมีมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งนอกจากโครงการคนละครึ่งที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีรายได้ที่พอจะมีกำลังซื้อมาร่วมจ่ายกับรัฐแล้ว ยังมีโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่กลุ่มดังกล่าว ประมาณ 14 ล้านคน โดยเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็น จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2563 อีกทั้งโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดการใช้จ่ายในท้องถิ่น กระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่สำคัญด้วย
สำหรับโครงการคนละครึ่งมีระบบการใช้จ่ายด้วยแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ที่มีการยืนยันตัวตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้ใช้ให้มั่นใจว่าไม่มีผู้อื่นมาใช้สิทธิแทน และมีการใช้จ่ายจริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นการสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชนทุกระดับจนถึงระดับฐานราก ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ Digital Society ไปพร้อมๆ กัน ในขณะเดียวกันยังเป็นการลดการใช้เงินสด ทำให้การดำเนินโครงการโปร่งใส รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ สำหรับประเด็นข้อจำกัดอื่น ๆ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงให้ครอบคลุมประชาชนให้มากที่สุด
รองโฆษกกระทรวงการคลังได้ย้ำว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายในการดูแลประชาชนให้ทั่วถึงทุกกลุ่ม ซึ่งนอกเหนือจากมาตรการดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังได้มีการดูแลประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ผ่านมาตรการอื่นๆ ของรัฐด้วย
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง)
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37157 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ที่ระดับ 78 ล้านล้านบาท ไม่เป็นความจริง | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ที่ระดับ 78 ล้านล้านบาท ไม่เป็นความจริง
ตามที่ได้มีการแชร์รูปภาพและเนื้อข่าวว่า หนี้สาธารณะของประเทศไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 สูงถึง 78 ล้านล้านบาท นั้น
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงว่า เนื้อหาข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 หนี้สาธารณะมีจำนวนทั้งสิ้น 7.8 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับ ร้อยละ 49.34 ประกอบด้วย หนี้รัฐบาล จำนวน 6.73 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 795,980 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน 309,472 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 7,821 ล้านบาท
ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรง จำนวน 6.3 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.40 ของ GDP สำหรับหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐ จำนวน 1.5 ล้านล้านบาท ใช้แหล่งเงินอื่นมาชำระหนี้ จึงไม่เป็นภาระต่องบประมาณ
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงการคลังได้บริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด โดยประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ปี 2564 ยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังซึ่งกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60
ทั้งนี้ การเจตนานำเข้า เผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลที่บิดเบือน ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37158 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.เปิดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงซีมีโอ ครั้งที่ 43 ย้ำรับมือวิกฤตโควิดด้วยการลงทุนเพื่อปฏิรูปการศึกษา เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนการสอน | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
รมว.ศธ.เปิดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงซีมีโอ ครั้งที่ 43 ย้ำรับมือวิกฤตโควิดด้วยการลงทุนเพื่อปฏิรูปการศึกษา เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนการสอน
รมว.ศึกษาธิการ เปิดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 43 เน้นย้ำรับมือวิกฤตโควิด-19 ด้วยการลงทุนเพื่อปฏิรูปการศึกษา เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนการสอน
รมว.ศึกษาธิการ เปิดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 43 เน้นย้ำรับมือวิกฤตโควิด-19 ด้วยการลงทุนเพื่อปฏิรูปการศึกษา เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนการสอน จัดสรรงบประมาณสนับสนุนการศึกษาอย่างเพียงพอ ให้เกิดความเท่าเทียมกันของคุณภาพทางการศึกษา
(30 พฤศจิกายน 2563) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 43 (43rd SEAMEO High Official Meeting: SEAMEO HOM) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (WebEX) โดยนายสุภัทร จำปาทอง ปลัด ศธ., นางสาวชฎารัตน์ สิงหเดชากุล ผู้ตรวจราชการ ศธ., ผู้อำนวยการสำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป.ศธ. เข้าร่วม ณ ห้องประชุมจันทรเกษม
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 55 ปี ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือซีมีโอ ตลอดจนแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลง และส่งผลกระทบต่อทุกด้าน รวมทั้งด้านการศึกษา
ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐบาล ผู้บริหาร และบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ ของทุกประเทศในภูมิภาค จำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อรับมือกับวิกฤตดังกล่าว โดยการลงทุนเพื่อปฏิรูปการศึกษา รวมทั้งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ ก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังมุ่งให้ประเทศในภูมิภาคปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงาน เร่งรัดการปฏิรูปการจัดการศึกษา แบ่งปันทรัพยากร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน รวมทั้งจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการศึกษาอย่างเพียงพอ เพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศในภูมิภาคให้เกิดความเท่าเทียมกันของคุณภาพทางการศึกษา ประเทศไทยยินดีที่จะร่วมมือกับประเทศสมาชิกซีมีโอ เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการขจัดปัญหาอุปสรรคด้านการศึกษา เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของภูมิภาคต่อไป
สำหรับการประชุมผ่านระบบ WebEX ในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 140 คน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้แทนอาวุโสระดับสูงจากประเทศสมาชิกซีมีโอ 11 ประเทศ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ผู้แทนประเทศสมาชิกสมทบ, หน่วยงานที่เป็นสมาชิกสมทบ, ผู้แทนศูนย์ระดับภูมิภาคและเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการซีมีโอ ตลอดจนหุ้นส่วนความร่วมมือต่าง ๆ โดยจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติเพื่อพัฒนาการศึกษา กำหนดแนวทางในการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก ในการพัฒนาการศึกษา วิทยาศาสตร์ รวมทั้งวัฒนธรรมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในการนี้ ประเทศสมาชิกซีมีโอได้ร่วมกันนำเสนอความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ/กิจกรรมภายใต้ 7 ประเด็นสำคัญด้านการศึกษาของซีมีโอ (7 Priority Areas) คือ
1. การส่งเสริมการจัดการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัย (Early Childhood Care and Education)
2. การจัดการอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษา (Addressing Barriers to Inclusion)
3. การเตรียมความพร้อมการศึกษาเพื่อเผชิญกับสภาวะฉุกเฉิน (Ensuring Resiliency in the Face of Emergencies)
4. การส่งเสริมการศึกษาด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา (Promoting Technical and Vocational Education and Training)
5. การปฏิรูประบบการพัฒนาครู (Revitalising Teacher Education)
6. การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการอุดมศึกษาและการวิจัย (Promoting Harmonisation in Higher Education and Research)
7. การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Adopting a 21st Century Curriculum)
โดยเชื่อมโยงระหว่างแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา อีกทั้งสอดคล้องกับเป้าหมายที่มุ่งเน้นให้การศึกษามีความเท่าเทียม ทั่วถึง ตลอดจนส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่ประชาชนทุกช่วงวัย และเป้าหมายวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อบรรลุวาระการศึกษาของซีมีโอภายในปี 2578 (2035 SEAMEO Education Agenda) ต่อไป
อานนท์ วิชานนท์ / สรุป ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า / ภาพ สต.สป. / ข้อมูล
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37169 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน “อยุธยา ขลุ่ยทิพย์ ๑,๐๐๐ เลา” ครั้งที่ ๑ | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน “อยุธยา ขลุ่ยทิพย์ ๑,๐๐๐ เลา” ครั้งที่ ๑
รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน “อยุธยา ขลุ่ยทิพย์ ๑,๐๐๐ เลา” ครั้งที่ ๑
วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน “อยุธยา ขลุ่ยทิพย์ ๑,๐๐๐ เลา” ครั้งที่ ๑ โดยมี รศ.ดร.ชูสิทธิ์ ประดับเพ็ชร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา กล่าวรายงาน และมีนายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและภริยา ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินรับเชิญ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เข้าร่วมงาน ณ บริเวณลานวัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยา โดยคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยาจัดงาน “อยุธยา ขลุ่ยทิพย์ ๑,๐๐๐ เลา” ครั้งที่ ๑ ขึ้น เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ใช้ขลุ่ย ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีไทยเป็นเครื่องดนตรีประจำตัว อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัด และเป็นการนำศิลปวัฒนธรรมมาสร้างความรักความสามัคคีให้กับคนในชาติ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37153 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ
การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ
การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37181 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันรายได้ เฮ ต่อเนื่อง! จุรินทร์ ช่วย"เกษตรกรมันสำปะหลัง" ได้ส่วนต่างสูงสุด 26,000 บาท เดินหน้าประกันรายได้ปี2 กดปุ่มจ่าย 1 ธันวาคม นี้แล้ว | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
ประกันรายได้ เฮ ต่อเนื่อง! จุรินทร์ ช่วย"เกษตรกรมันสำปะหลัง" ได้ส่วนต่างสูงสุด 26,000 บาท เดินหน้าประกันรายได้ปี2 กดปุ่มจ่าย 1 ธันวาคม นี้แล้ว
30 พฤศจิกายน 2563 นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 18 สิงหาคม 2563 อนุมัติให้เดินหน้าโครงการประกันรายได้มันสำปะหลังปีที่2 วงเงินงบประมาณ 9,788 ล้านบาท
โดยเกษตรกรมันสำปะหลังได้รับประโยชน์ 5.24 แสนครัวเรือน ช่วงแจ้งเพาะปลูกคือ 1 เมษายน 2563 ถึง 31 มีนาคม 2564โดยประกันรายได้ที่ราคาเป้าหมายกิโลกรัมละ 2.50 บาทไม่เกินครัวเรือนละ 100 ตันหรือคิดเป็น 100,000 กิโลกรัม โดยโครงการประกันรายได้เกษตรกรเดินหน้าต่อเนื่องเป็นปีที่2 ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงนโยบายนี้รัฐสภาตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นมานับจากการร่วมรัฐบาลด้วยเงื่อนไขนี้เพื่อเหลือช่วยเกษตร
นางมัลลิกา กล่าวว่า นายจุรินทร์มีเรื่องแจ้งเกษตรกรด้วยความห่วงใยเพราะเป็นห่วงเรื่องการเข้าถึงและรับรู้ด้านข้อมูลข่าวสารจึงขอแจ้งให้ทราบว่าเมื่อวันที่ 26 พ.ย.2563 ที่ผ่านมานายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม รองอธิบดี รักษาการอธิบดีกรมการค้าภายใน ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ได้เห็นชอบการกำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงและการชดเชยส่วนต่างราคาให้กับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 งวดที่ 1 ซึ่งเป็นงวดแรกของโครงการประกันรายได้มันสำปะหลังปี 2 โดยจะชดเชยส่วนต่างให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรและระบุวันเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2563 และระบุวันคาดว่าจะเก็บเกี่ยวก่อนวันที่ 1 ธ.ค.2563 ในราคากิโลกรัม ละ 0.26 บาท ซึ่งเป็นส่วนต่างจากราคาเป้าหมายที่กำหนดประกันรายได้ไว้ที่ 2.50 บาทต่อกิโลกรัมโดยราคาตลาดหัวมันสำปะหลังสดเชื้อแป้ง 25% ขณะนี้เฉลี่ยอยู่ที่กก.ละ 2.24 บาท จึงมีส่วนต่าง 26 สตางค์นั่นเอง
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ทั้งนี้การจ่ายเงินส่วนต่างรัฐบาลจะจ่ายทุกวันที่ 1 ของเดือน เป็นเวลา 12 เดือน โดยจะจ่ายงวดแรกในวันที่ 1 ธ.ค.2563 ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะจ่ายเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง โดยเกษตรกร 1 ครัวเรือน จะใช้สิทธิได้ 1 ครั้งและการคำนวณผลผลิตที่จะได้รับการชดเชย ได้ใช้ปริมาณผลผลิตต่อไร่ย้อนหลัง 3 ปี (ปี 2560/61 ปี 2561/62 และปี 2562/63) ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะได้เท่ากับ 3,419 กก.ต่อไร่ เมื่อคูณด้วยจำนวนไร่ตามที่เกษตรกรได้ขึ้นทะเบียนไว้แต่การจ่ายประกันรายได้ต้องไม่เกินครัวเรือนละ 100 ตัน
" ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงขณะนี้ 2.24 บาทต่อกิโลกรัม แต่รัฐบาลประกันรายได้ไว้ที่ราคาเป้าหมาย 2.50 บาทต่อกิโลกรัมทำให้ต้องชดเชยส่วนต่างแก่เกษตรกร 0.26 บาทต่อกิโลกรัม รัฐบาลการประกันรายได้ไว้ให้ไม่เกินครัวเรือนละ 100 ตัน หรือ 100,000 กิโลกรัม ดังนั้นเกษตรกรมันสำปะหลังที่เก็บเกี่ยวขอบนี้คือเกษตรกรที่ระบุวันเพาะปลูกตั้งแต่ 1 เม.ย.63 และคาดว่าจะเก็บเกี่ยวก่อน 1 ธ.ค.63 โดยจะจ่ายในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ จะได้รับสิทธิ์ชดเชยสูงสุด 26,000 บาท หากมีข้อสงสัยให้ประสานงานสำนักงานพาณิชย์ทุกจังหวัดหรือกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จึงขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน " นางมัลลิกา กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37159 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดกิจกรรม “อาเซียนลี้ลับ : ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” เผยแพร่วัฒนธรรมความเชื่อ ผ่านนิทรรศการ-เสวนา-เวิร์คช้อป | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
วธ.จัดกิจกรรม “อาเซียนลี้ลับ : ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” เผยแพร่วัฒนธรรมความเชื่อ ผ่านนิทรรศการ-เสวนา-เวิร์คช้อป
วธ.จัดกิจกรรม “อาเซียนลี้ลับ : ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” เผยแพร่วัฒนธรรมความเชื่อ ผ่านนิทรรศการ-เสวนา-เวิร์คช้อปแต่งหน้า ทำขนมและประดิษฐ์ธุงใยแมงมุม
วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ที่ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ชั้น ๓ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรม “อาเซียนลี้ลับ: ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นักศึกษา และประชาชน เข้าร่วม
นายปรเมศวร์ กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ บริเวณ ชั้น ๓ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนินเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกอาเซียนมาอย่างต่อเนื่องในหลากหลายหัวข้อ อาทิ อัตลักษณ์ แหล่งมรดกทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต มรดกภูมิปัญญา และความเชื่อมโยงในภูมิภาค
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า การจัดกิจกรรมของศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนในครั้งนี้ได้เลือกนำวัฒนธรรมด้าน “ความเชื่อ” ของชาวอาเซียนมานำเสนอในรูปแบบนิทรรศการที่แตกต่างออกไป ซึ่งเรื่องภูตผี วิญญาณ สิ่งลี้ลับ สิ่งเหนือธรรมชาติ ถึงแม้ว่าจะยังคงเป็นข้อถกเถียงทั้งในมุมมองทางวิทยาศาสตร์ และเป็นปริศนาที่ผู้คนยังค้นหาคำตอบอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็มีประเด็นที่น่าคิดอย่างหนึ่ง คือ ความเชื่อเหล่านี้ มีบทบาทในสังคมหลากหลายรูปแบบ และยังคงติดตามเคลื่อนที่มากับความเชื่อของคนตั้งแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องผีสางตามความเชื่อของผู้คนในอาเซียนที่มีความคล้ายคลึง เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอยู่ไม่น้อย จึงเป็นที่มาของการจัดนิทรรศการ “อาเซียนลี้ลับ : ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” ในรูปแบบบ้านผีสิงจำลอง ซึ่งได้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓
นอกจากนี้ ในระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนยังได้จัดกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับนิทรรศการฯ ประกอบด้วย การเสวนาเรื่อง “อาเซียนลี้ลับ : ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” โดยมี ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ราชบัณฑิตสาขานาฏกรรม ดร.สุรัตน์ จงดา ผู้ช่วยอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ และนายนิเวศน์ แววสมณะ ครูช่างศิลปหัตถกรรม เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้เรื่องนิทรรศการฯ และเรื่องการแสดงทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ นอกจากนี้ มีการแสดงชุด “เขย่าขวัญอาเซียน” การแสดงสร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยคณะศิลปินคิดบวกสิปป์ ที่ได้หลอมรวมเรื่องราวลี้ลับของภูติผีในอาเซียน สื่อสารออกมาในรูปแบบการฟ้อนรำเพื่อบูชาผีสางเทวดา อันสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมความเชื่อของชาวอาเซียนที่มีมาตั้งแต่อดีตตราบจนปัจจุบัน รวมทั้งกิจกรรม Workshop การแต่งหน้าแนวสยองขวัญ การประดิษฐ์ธุงใยแมงมุมป้องกันสิ่งชั่วร้าย และการทำขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ขนมศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมต่างๆ ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน โทร. ๐๒ ๒๒๔ ๔๒๗๙ หรือเพจ Facebook: ASEAN Cultural Center
---------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37150 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานมอบรางวัลการประกวด “การต่อต้านทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน” ประจำปี ๒๕๖๓ | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานมอบรางวัลการประกวด “การต่อต้านทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน” ประจำปี ๒๕๖๓
นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานมอบรางวัลการประกวด “การต่อต้านทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน” ประจำปี ๒๕๖๓
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานมอบรางวัลการประกวด “การต่อต้านทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน” ประจำปี ๒๕๖๓ ถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานกรรมการมูลนิธิต่อต้านการทุจริต นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารมูลนิธิต่อต้านการทุจริต ผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ศิลปินแห่งชาติ ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษาและประชาชนที่สนใจเข้าร่วม ณ โรงละครแห่งชาติ กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37147 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม การเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และการตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
รัฐมนตรีฯ สุริยะ เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม การเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และการตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น
รัฐมนตรีฯ สุริยะ เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม การเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และการตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม การเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และการตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Connect) ประจำปีงบประมาณ 2564 พร้อมด้วย นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นาวสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกประจำกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุม บริษัท ไรซ์ แอกเซล จำกัด อาคารเกษรทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
สำหรับ กิจกรรม การเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และการตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Connect) ดังกล่าว เป็นการยกระดับการส่งเสริมสตาร์ทอัพไทย ผ่านการความร่วมมือกับภาคเอกชนที่ให้ความสนใจร่วมลงทุนสตาร์ทอัพในกลุ่ม Deep Technology โดยการจัดตั้งทีมกูรูดีพร้อม (DIProm Guru) เพื่อบ่มเพาะและดำเนินการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ในระยะเริ่มต้น เพื่อให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ และต้นแบบเชิงนวัตกรรมในการนำไปทดสอบเชิงพาณิชย์
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37184 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด -19 | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
โครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด -19
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคม สู้ภัยโควิด-19 ผ่านโครงการ “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” วงเงิน 95 ล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ระดับ 3 - 5 ดาว ทั้ง 76 จังหวัด และชุมชนท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้สามารถเพิ่มช่องทางระบายสินค้า OTOP และผลิตภัณฑ์ชุมชนได้มากยิ่งขึ้น โดยเป็นกิจกรรมจ้างเหมาดำเนินการจัดงานโอทอปไทยสู้ภัยโควิด-19 เพื่อจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP ชวนชิมอาหาร ให้บริการท่องเที่ยวชุมชน และสาธิตภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น โดยตั้งเป้าเพิ่มช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ให้กับชุมชน รวมทั้งสร้างเศรษฐกิจจากสินค้าโอทอปให้กับประชาชน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37141 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ช่วยชาวนา ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกฯ ในฐานะประธานบอร์ด นบข. เคาะเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/2564 รอบที่ 1 | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
“ช่วยชาวนา ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกฯ ในฐานะประธานบอร์ด นบข. เคาะเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/2564 รอบที่ 1
“ช่วยชาวนา ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกฯ ในฐานะประธานบอร์ด นบข. เคาะเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/2564 รอบที่ 1
วันนี้ (30 พ.ย.63) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 5/2563 เห็นชอบปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/2564 รอบที่ 1 จากที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเบื้องต้น เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 จำนวน 18,096.06 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก 28,711.29 ล้านบาท เป็น 46,807.35 ล้านบาท โดยจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป พร้อมทั้งมอบหมายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และกระทรวงพาณิชย์ จัดทำรายละเอียดโครงการฯ และงบประมาณให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปริมาณผลผลิต ประมาณการวงเงินที่ใช้ เพื่อให้การจ่ายเงินถูกต้องครบถ้วน
มากไปกว่านั้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังให้มีการติดตามการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ข้าว โดยขอให้ทุกหน่วยงานต้องรายงานต่อที่ประชุมทุกสามเดือน เริ่มตั้งแต่การประชุมนัดต่อไป
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเผยว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานบอร์ด นบข. ยืนยันรัฐบาลดูแลคนทั้งประเทศโดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกร กำชับทุกฝ่ายให้ช่วยกันดูแล ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส สุจริต และสามารถตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างเป็นระบบ ให้ไทยมีพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ เกษตรกรได้ประโยชน์ รัฐบาลก็สามารถลดภาระด้านงบประมาณ ทำให้มีการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37179 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
กระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
กระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พร้อมบูรณาการทุกกระทรวงเพื่อลดขั้นตอนและลดภาระในการแก้ไขปัญหาให้กับประเทศ
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 6/2563 โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีของทุกกระทรวงเข้าร่วม ณ ห้องประชุมธารทิพย์ 01 อาคาร 99 ปี มล.ชูชาติ กำภู กรมชลประทาน สามเสน ซึ่งในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการนำเสนอผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ 1) การบริหารจัดการสินค้าเกษตร ภายใต้หลักการ "ตลาดนำการผลิต" โดยได้มีการนำเสนอผลการดำเนินงานสินค้าเกษตรที่สำคัญ คือ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ผลไม้ ปศุสัตว์ ประมงและการแก้ไขปัญหา IUU 2) การบริหารจัดการฝุ่น การเผาในพื้นที่เกษตร ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้มีแนวทางในการป้องกันการเผาเศษซากพืช วัชพืช และเศษวัสดุการเกษตร โดยได้มีการประสานกับกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารภัยแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ มีแนวทางปฏิบัติในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แบ่งการดำเนินงานใน 3 ขั้นตอน ทั้งการป้องกัน การยับยั้ง/เผชิญเหตุ และการแก้ไข/ฟื้นฟู มีกลไกการขับเคลื่อนผ่านศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร โดยจะรายงานสถานการณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยตรง
3) การเยียวยา ฟื้นฟูเกษตรกร ผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 โดยมีโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งมีเกษตรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ 7 หน่วยงานรับขึ้นทะเบียน คือ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมหม่อนไหม การยางแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้้าตาลทราย และกรมสรรพสามิต มีผลการโอนเงินช่วยเหลือเกษตรกรตามโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม – 30 กันยายน 2563 มีเกษตรกรที่ได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้น จำนวน 7.57 ล้านราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 113,304.4 ล้านบาท นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังมีโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งมีโครงการที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอผ่าน สศช. และผ่านการอนุมัติจากมติ ครม. เรียบร้อยแล้วนั้น รวมทั้งสิ้น 36 โครงการ โครงการภายใต้แผนงาน 3.1 (เพิ่มศักยภาพและยกระดับการผลิต) จำนวน 3 โครงการ และโครงการภายใต้แผนงาน 3.2 (เศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจชุมชน) จำนวน 33 โครงการ รวมถึงมีมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้กู้ยืม (ลูกหนี้กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน) ด้วย และ 4) การบริหารจัดการน้ำ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ 1) ปัญหาและอุปสรรคการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน ส.ป.ก. 2) การขอรับความสนับสนุนหรือขอความร่วมมือในการจัดหาเครื่องจักรกลและเครื่องมือทางการเกษตรให้แก่เกษตรกรในท้องที่ที่ขาดแคลน 3) การพิจารณาทบทวนการออกหลักฐาน กสน.5 ในที่ดินที่ได้มีการประกาศสงวนหวงห้ามไว้ตามกฎหมายอื่นก่อนแล้ว 4) การแก้ไขปัญหาราคาข้าว และ 5) การสร้าง Trust Mode ประเทศด้านการเกษตร - อุตสาหกรรมในรูปแบบเครือข่าย (Single Platform) โดยในที่ประชุมได้มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและการแปรรูปอาหารใฟ้เป็นระบบครบวงจร
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) ได้กล่าวในโอกาสมอบนโยบายและการบูรณาการความร่วมมือในการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ว่า คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีถือเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งกรรมการทุกคนเป็นส่วนสำคัญในการช่วยรัฐบาลเป็นอย่างมาก เพราะมาช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล จึงขอถือโอกาสนี้ในนามของรัฐบาลกล่าวขอบคุณทุกท่านที่ทุ่มเทในการทำงาน และช่วยผลักดันให้นโยบายรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนเป็นอย่างดี รัฐบาลอยากเห็นการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วน ถ้ามีการบูรณาการร่วมกันที่ดีก็จะทำให้ลดขั้นตอนและลดภาระในการแก้ปัญหาให้กับประเทศ และหากมีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่องจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37164 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” หนุน สดช. ร่วมประกาศแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการจัดทำโครงการ | วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2563
“ดีอีเอส” หนุน สดช. ร่วมประกาศแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการจัดทำโครงการ
“ดีอีเอส” หนุน สดช. ร่วมประกาศแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการจัดทำโครงการ"Thailand digital outlook 2020
30พ.ย. 63นางคนึงนิจคชศิลาผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการจัดทำโครงการ"Thailand digital outlook 2020"ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สดช.)สำหรับเวทีงานสัมมนาครั้งนี้เป็นการนำเสนอผลการสำรวจและจัดทำดัชนีตัวชี้วัดด้านดิจิทัลของประเทศไทยปี2563ที่สดช.ดำเนินงานโครงการวิจัยThailand digital outlook 2020ระยะที่2แล้วเสร็จทั้งนี้เพื่อเผยผลการดำเนินโครงการและนำเสนอข้อมูลอันเป็นประโยชน์ด้านดิ hmดิจิทัลไทยแลนด์รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ณห้องออดิทอเรียมชั้น2โรงแรมเซ็นทราบายเซ็นทาราศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะฯ
***********
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37185 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล มอบวธ. จัดกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ จัดริ้วขบวนพาเหรดยิ่งใหญ่ ชมนิทรรศการ “อัครศิลปิน” และการแสดงศิลปวัฒนธรรม ๑ - ๖ | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
รัฐบาล มอบวธ. จัดกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ จัดริ้วขบวนพาเหรดยิ่งใหญ่ ชมนิทรรศการ “อัครศิลปิน” และการแสดงศิลปวัฒนธรรม ๑ - ๖
รัฐบาล มอบวธ. จัดกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ จัดริ้วขบวนพาเหรดยิ่งใหญ่ ชมนิทรรศการ “อัครศิลปิน” และการแสดงศิลปวัฒนธรรม ๑ - ๖
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายในการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๑ - ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. บริเวณถนนสนามไชย สวนสราญรมย์ และมิวเซียมสยาม โดยในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้รับมอบหมายให้จัดกิจกรรม ดังนี้ ๑.จัดนิทรรศการ "อัครศิลปิน” นำเสนอพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๙ด้าน ประกอบด้วย (๑) พระอัจฉริยภาพด้านจิตรกรรม นำสำเนาภาพวาดฝีพระหัตถ์ และภาพจิตรกรรมที่ทรงวินิจฉัยมาจัดแสดง (๒) พระอัจฉริยภาพด้านประติมากรรม จัดแสดงงานประติมากรรมที่ทรงวินิจฉัย (๓) พระอัจฉริยภาพด้านวรรณศิลป์ นำหนังสือทรงพระราชนิพนธ์มาจัดแสดง และมหาราชานุสาสนี(คำสอนของมหาราช) ในหนังสือผ่านระบบINTERACTIVE Touchscreen
(๔) พระอัจฉริยภาพด้านการถ่ายภาพ นำเสนอสำเนาภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ (๕) พระอัจฉริยภาพด้านวาทศิลป์ นำเสนอวีดีทัศน์พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสในโอกาสสำคัญต่าง ๆ (๖) พระอัจฉริยภาพด้านนาฏศิลป์และดนตรี นำเสนอข้อมูลที่ทรงอุปถัมภ์การแสดงโขน ละคร ศิลปะการแสดง และดนตรี (๗) พระอัจฉริยภาพด้านดุริยางคศิลป์ นำบทเพลงพระราชนิพนธ์ ผ่านระบบเทคนิคSounddome(๘) พระอัจฉริยภาพด้านหัตถศิลป์และงานออกแบบ นำเสนอวีดีทัศน์ผ่านระบบการฉายmappingบนเรือใบมดที่ทรงออกแบบและต่อขึ้นด้วยพระองค์เอง และ(๙) พระอัจฉริยภาพด้านงานสถาปัตยศิลป์ นำเสนอข้อมูลงานสถาปัตยศิลป์ที่พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชดำริและพระบรมราชวินิจฉัย ระหว่างวันที่ ๑ - ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. ณ บริเวณสนามหญ้าด้านข้างหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ถนนสนามไชย กรุงเทพฯ
๒.จัดริ้วขบวนพาเหรด "เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” ระหว่างวันที่ ๑ - ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ และวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. โดยเริ่มต้นขบวนตั้งแต่มิวเซียมสยาม ถึงบริเวณหน้าศาลฎีกา ประกอบด้วย ๖ ขบวน ดังนี้ริ้วขบวนที่ ๑สยามภักดีภิรมย์รัฐ (ภาคกลาง) ประกอบด้วย วงกลองยาวและขบวนเครื่องแต่งกายวิรัชสราญรมย์แสดงเอกลักษณ์การแต่งกายในยุครัตนโกสินทร์ พร้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์มอญ ไททรงดำ ลาวครั่ง และไทยเบิ้งริ้วขบวนที่ ๒ล้านนาภิวัฒน์ร่มพระบารมี (ภาคเหนือ) เสนอประเพณีและวัฒนธรรมของคนเมือง ประกอบด้วยการตีกลองสะบัดชัย ฟ้อนนกกิงกะหลา เต้นโตและฟ้อนขันดอก พร้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ อาข่า ม้งและกะเหรี่ยงริ้วขบวนที่ ๓อีสานสามัคคีคุณากร (ภาคอีสาน) แสดงประเพณีและวัฒนธรรมของชาวอีสานตอนบนและตอนล่าง ได้แก่ บายศรีสู่ขวัญ เซิ้งบั้งไฟ ผีตาโขนและตุงอีสาน พร้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ภูไท ไทยพวน ไทย้อ และกุย
ริ้วขบวนที่ ๔ถิ่นทักษิณาทรวัฒนธรรม (ภาคใต้) แสดงวัฒนธรรมการแต่งกายและวัฒนธรรมของชาวใต้ ได้แก่ โนรา ตารีบุหงา และเปอรานากันหรือบะบ๋ายะหยา มาสคอตอ้ายเท่ง และอ้ายหนูนุ้ย พร้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ซาไก มอแกน ไทยใหม่ และอูรักลาโว้ยริ้วขบวนที่ ๕ชุมชนน้อมนำมโนภักดิ์ (ชุมชนนานาชาติ ศาสนิกสัมพันธ์) ประกอบด้วย ๔ ศาสนิกชน คือ ซิกซ์ ฮินดู มุสลิมและคริสต์ และริ้วขบวนที่ ๖รวมใจจงรักนิรันดร ประกอบบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่นำมาดัดแปลงดนตรีใหม่ ให้มีความสนุกสนาน เช่น เต้นฮิปฮอป สวิงแดนซ์ เพอร์คัชชั่น ป๊อปปิ้ง และ๓.จัดการแสดงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวไทย ชุด "บุปผาสักการะน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ” ในพิธีจุดเทียนมหามงคล วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๒๕ น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงซึ่งเป็นการแสดง ๔ ภาคประกอบด้วย ภาคเหนือ ฟ้อนขันดอก ภาคกลาง ระบำร่มฉัตร ภาคใต้ รำตาลีบุหงา และภาคอีสาน ฟ้อนมาลัยข้าวตอก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันกรมศิลปากร กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับศิลปินสาขาต่างๆ จัดกิจกรรมการแสดง ระหว่างเวลา ๑๖.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ณ เวทีการแสดงนิทรรศการ "อัครศิลปิน” บริเวณสนามหญ้าด้านข้างหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ได้แก่ วันที่ ๑ ธันวาคม เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การแสดงBrass Ensembleน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดย วงดุริยางค์เยาวชนไทยในพระอุปถัมภ์ฯ (Thai Youth Orchestra:TYO) เวลา ๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. การแสดงดนตรีไทยร่วมสมัย "วงกอไผ่” โดยนายอนันต์ นาคคง ศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรี ประจำปี ๒๕๖๒ และเวลา ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร วันที่ ๒ ธันวาคม เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การแสดงเพลงอีแซวรำลึกในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) ปี ๒๕๓๙ เวลา ๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. การแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัย ชุด "คิดถึง น้อมนำ ทำตาม” โดยคณะThe Creations Danceนาฏศิลป์สร้างสรรค์ และเวลา ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร
วันที่ ๓ ธันวาคม เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การแสดงลำตัดน้อมรำลึกในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยแม่ศรีนวล ขำอาจ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ศิลปะพื้นบ้าน-ลำตัด) ประจำปี ๒๕๖๒ เวลา ๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. การแสดงร่วมสมัยชุด "คนเดียวที่คิดถึง” โดยนายมานพ มีจำรัส ศิลปินศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง ปี ๒๕๔๘ และเวลา ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร วันที่ ๔ ธันวาคม เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การแสดงของพ่อโดยคณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทย เวลา ๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. การแสดงการขับร้องวงประสานเสียง โดยคณะMu Choirวงขับร้องประสานเสียง มหาวิทยาลัยมหิดล และเวลา ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร
วันที่ ๕ ธันวาคม เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๔.๓๐ น. การแสดงเพลงทรงเครื่อง "รักของพ่อ” โดยคณะแม่บัวผัน เวลา ๑๔.๓๐ - ๑๕.๑๐ น. การแสดงดนตรี กวี ศิลป์ ชื่อชุด "น้อมนำคำพ่อสอน” จากวงดนตรีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ประกอบการวาดทรายจากอาจารย์ก้องเกียรติ กองจันดี ควบคุมการแสดงโดย ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ ศิลปินศิลปาธร สาขาคีตศิลป์ ประจำปี ๒๕๕๐ และเวลา ๑๕.๑๐ - ๑๖.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร และวันที่ ๖ ธันวาคม เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การแสดงสืบสานดุริยศิลป์ ใต้ร่มพระบารมี โดยวงดุริยางค์เครื่องลมเยาวชนไทย(Thai Youth Winds:TYW) เวลา ๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. การแสดงหุ่นกระบอกร่วมสมัย เรื่อง "พระเนมิราชชาดก” โดยคณะบ้านตุ๊กตุ่นและเวลา ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากรสอบถามรายละเอียด สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ หรือโทร. ๐ ๒๒๐๙ ๓๖๑๕ - ๑๙ ในวันและเวลาราชการ
-----------------------------
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37166 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดแถลงข่าวงานวันอาสาสมัครสากล ประจำปี 2563 ( International Volunteer Day 2020 ) ภายใต้หัวข้อ “Together We Can Through Volunteering” | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
พม. จัดแถลงข่าวงานวันอาสาสมัครสากล ประจำปี 2563 ( International Volunteer Day 2020 ) ภายใต้หัวข้อ “Together We Can Through Volunteering”
พม. จัดแถลงข่าวงานวันอาสาสมัครสากล ประจำปี 2563 ( International Volunteer Day 2020 ) ภายใต้หัวข้อ “Together We Can Through Volunteering”
วันนี้ (30 พ.ย. 63) เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย Ms. Gita Sabharwal (United Nations Resident Coordinator in Thailand และ Mrs. Shalina Miah (Regional Manager, Asia and the Pacific United Nations Volunteers Programme) ร่วมแถลงข่าวงานวันอาสาสมัครสากล ประจำปี 2563 (International Volunteer Day 2020) ภายใต้หัวข้อ “Together We Can Through Volunteering” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ที่ห้องประชุม ESCAP Hall สำนักงานองค์การสหประชาชาติประเทศไทย
นายจุติ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี ซึ่งตรงกับตรงวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นวันอาสาสมัครไทย และสอดคล้องกับองค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครสากล รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้ความสำคัญในการผลักดันนโยบายด้านงานอาสาสมัครของประเทศไทย และส่งเสริมอาสาสมัครเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคม ขับเคลื่อนงานพัฒนาประเทศ
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) เป็นหน่วยงานหลักในการทำหน้าที่เกี่ยวกับการพัฒนาสังคม การสร้างความเป็นธรรม และความเสมอภาคในสังคม รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม อาสาสมัคร และประชาชน โดยมี 2 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ซึ่งดำเนินการการขับเคลื่อนการจัดตั้งศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติ เป็นศูนย์กลางการประสานงานกับองค์กรที่ดำเนินงานด้านอาสาสมัคร การจัดทำทะเบียนกลางอาสาสมัครของประเทศ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนงานอาสาสมัครที่มีประสิทธิภาพ ทั้งทางด้านการบริหารจัดการอาสาสมัคร และการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัคร ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และกองกิจการอาสาสมัครและภาคประชาสังคมเป็นหน่วยงานที่ให้การส่งเสริมและพัฒนากลไกเกี่ยวกับงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ผลักดันการขยาย อพม. ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อรองรับการดูแลและช่วยเหลือประชาชนในชุมชน อย่างน้อย 1 คน ต่อ 40 ครัวเรือน นอกจากนี้ ยังเน้นการพัฒนาคุณภาพของอาสาสมัคร โดยเพิ่มศักยภาพในด้านความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานด้านการจัดสวัสดิการและการพัฒนาชุมชน
นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า ในปีนี้ได้กำหนดการจัดงานวันอาสาสมัครสากล ประจำปี 2563 (International Volunteer Day 2020) ในวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563 โดยกำหนดหัวข้อ “Together We Can Through Volunteering” ซึ่งจะจัดขึ้น ณ ห้องประชุม ESCAP Hall สำนักงานองค์การสหประชาชาติประเทศไทย กรุงเทพฯ มีการจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์การปฏิบัติงานของอาสาสมัคร และเปิดโอกาสให้ทั้งองค์กรอาสาสมัคร และอาสาสมัคร ได้เผยแพร่กิจกรรมที่ได้ทำ ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ เพื่อบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเชิญชวนให้อาสาสมัคร องค์กรที่ทำงานด้านอาสาสมัครและประชาชนคนไทยทุกคน ได้ตระหนักและให้ความสำคัญต่อการทำงานด้านอาสาสมัคร เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานอาสาสมัครไทยสู่สากล โดยการจัดกิจกรรมทำประโยชน์เพื่อสังคมในช่วงระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 5 ธันวาคม 2563 และเผยแพร่ภาพหรือเรื่องราวต่างๆ ในการจัดกิจกรรมผ่านทางสื่อออนไลน์ Facebook Twitter หรือช่องทางอื่นๆ พร้อมทั้งพิมพ์ข้อความว่า “#5ธันวาคมวันอาสาสมัครสากล #IVDThailand2020 #IVD2020 #GiveAHeart #TogetherWeCan”
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37173 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด -19 | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
โครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด -19
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคม สู้ภัยโควิด-19 ผ่านโครงการ “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” วงเงิน 95 ล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ระดับ 3 - 5 ดาว ทั้ง 76 จังหวัด และชุมชนท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้สามารถเพิ่มช่องทางระบายสินค้า OTOP และผลิตภัณฑ์ชุมชนได้มากยิ่งขึ้น โดยเป็นกิจกรรมจ้างเหมาดำเนินการจัดงานโอทอปไทยสู้ภัยโควิด-19 เพื่อจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP ชวนชิมอาหาร ให้บริการท่องเที่ยวชุมชน และสาธิตภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น โดยตั้งเป้าเพิ่มช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ให้กับชุมชน รวมทั้งสร้างเศรษฐกิจจากสินค้าโอทอปให้กับประชาชน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37142 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเตรียมความพร้อมการรับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
การประชุมเตรียมความพร้อมการรับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา
การประชุมเตรียมความพร้อมการรับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563 เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุมสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมด้วยเกษตรและสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดสระแก้ว เพื่อติดตามความก้าวหน้าและการเตรียมความพร้อมการจัดนิทรรศการรายงานผลการดำเนินงานกิจกรรมพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมในเขตพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภาคตะวันออกโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงเตรียมการรับเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563 โดยมีกำหนดการเสด็จทรงงานโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ณ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำช้างป่าหลังต้นน้ำภูไท อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา โครงการเร่งด่วน เพื่อเก็บกักน้ำในฤดูฝน ปี 2563 (แก้มลิงคลองมะหาด) บ้านคลองมะหาด หมู่ที่ 14 อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา และพื้นที่เกษตรแปลงรวมบ้านหนองกระทิง หมู่ที่ 20 อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37167 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือแนวทางความร่วมมือกับโปรตุเกสในช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ | วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
นายกฯ หารือแนวทางความร่วมมือกับโปรตุเกสในช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ
นายกฯ หารือแนวทางความร่วมมือกับโปรตุเกสในช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ
วันนี้ (วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายฟรังซิชกู เด อัสซิช มูไรช์ เอ คูญา วาซ ปัตตู (H.E. Mr. Francisco de Assis Morais e Cunha Vaz Patto) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโปรตุเกสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับโปรตุเกสที่แน่นแฟ้นยาวนานกว่า 500 ปี โดยมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่เข้มแข็ง นายกรัฐมนตรีขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ดำรงตำแหน่ง พร้อมเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และพัฒนาต่อเนื่องไปจากนี้
เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ทำให้ได้รับประสบการณ์และความทรงจำที่ดี ชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับโปรตุเกสที่มีมาอย่างยาวนาน ตลอดจนเห็นพ้องที่จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านวัฒนธรรม สาธารณสุข และเทคโนโลยีและนวัตกรรม นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ยินดีที่รัฐบาลไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นที่ยอมรับ ซึ่งโปรตุเกสประสงค์จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดังกล่าวกับไทยด้วย
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือในช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีโอกาสในการขยายความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับโปรตุเกสเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากปี 2561 พร้อมทั้งเชิญชวนให้ภาคเอกชนของโปรตุเกสขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของไทย ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน การพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจ นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล และ MSMEs ซึ่ง เอกอัครราชทูตฯ เห็นว่าการท่องเที่ยวเป็นอีกภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ จึงควรหารือร่วมกันเพื่อเพิ่มพูนโอกาสและความร่วมมือในประเด็นนี้ต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37168 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” ประธานวางศิลาฤกษ์อาคารประกันสังคมปลวกแดง | วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563
“สุชาติ” ประธานวางศิลาฤกษ์อาคารประกันสังคมปลวกแดง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง อำนวยความสะดวกให้แก่นายจ้างและผู้ประกันตน
วันที่ 13 ธันวาคม 2563 เวลา 09:00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง ณ สถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง ตำบลแม่น้ำคู้ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พร้อมด้วยนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในพิธี โดยมีนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวต้อนรับ และนายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวรายงาน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวชื่นชมยินดีกับคณะเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยองที่ได้มีการสร้างสำนักงานใหม่ ยินดีกับผู้ประกันตน นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบการ ตลอดจนประชาชนทั่วไป ที่จะมีสถานที่ติดต่อราชการแห่งใหม่ที่สะดวกสบายมากขึ้น ทั้งทางด้านการเดินทาง และการอำนวยความสะดวกด้านการให้บริการ จากสำนักงานประกันสังคม
“สำนักงานประกันสังคมมุ่งเน้นนโยบายการให้บริการ การอำนวยความสะดวกผู้ประกันตนและนายจ้างเป็นสำคัญ ที่ผ่านมาสำนักงานประกันสังคมได้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองการให้บริการที่สะดวกรวดเร็ว ทันสมัย รวมถึงเรื่องอาคารสถานที่ในการรองรับการให้บริการที่เพียงพอและพร้อมต่อการให้บริการเพื่อความพึงพอใจและมีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้ประกันตน ตลอดจนนายจ้างเจ้าของสถานประกอบการ ซึ่งเป็นหัวใจของสำนักงานประกันสังคม เป็นภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร อีกทั้งเป็นขวัญกำลังใจ ความภาคภูมิใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุก ๆ คน ที่พร้อมนำส่งการบริการที่ยอดเยี่ยมในทุกมิติ” รมว.แรงงาน กล่าวในตอนท้าย
สำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง มีนายจ้างในความรับผิดชอบ จำนวน 2,856 แห่ง ลูกจ้าง 250,000 คน ที่ทำการปัจจุบันเป็นอาคารเช่า เกิดการคับแคบ คณะกรรมการกองทุนประกันสังคม จึงได้อนุมัติเมื่อปี 2562 ให้มีการก่อสร้างที่ทำการใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นายจ้างและผู้ประกันตนเป็นสำคัญ และตอบสนองการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และทันสมัย รองรับการให้บริการที่เพียงพอและพร้อมต่อการให้บริการ เพื่อความพึงพอใจสูงสุดและเป็นภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร อีกทั้ง เป็นขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุก ๆ คน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37550 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก | วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563
กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมสนับสนุน ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP และเกษตรกรไทยให้มีช่องทางการตลาด มีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความเข้มแข็งเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสนับสนุนการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สู่ชุมชนทั่วประเทศ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37548 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) | วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง)
รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงเกษตร แหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรอย่างครบวงจร ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่าปีละแสนคน สร้างรายได้คืนสู่เกษตรกรและชุมชนอย่างยั่งยืน
มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานและฟังการกล่าวรายงานผลการดำเนินงานของศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เริ่มจัดทำการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งเป็นความร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อเป็นการสนับสนุนปีการท่องเที่ยว (Amazing Thailand) จากการที่กรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานภาครัฐ ที่มีศูนย์วิจัยกระจายอยู่ในจังหวัดและภูมิภาคต่างๆ และมีสถานที่ตั้งอยู่ในแหล่งธรรมชาติ ซึ่งมีพื้นที่ในการศึกษาวิจัยและพัฒนาแปลงการผลิตพืช ขยายพันธุ์ การอารักขาพืช การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร แปลงต้นแบบการผลิตพืชทฤษฎีใหม่ รวมถึงแปลงรวบรวมและอนุรักษ์ความหลากหลายทางพันธุกรรมพืชจำนวนมาก จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ความรู้ด้านการเกษตรอย่างครบวงจรแก่เกษตรกร นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ได้รับคัดเลือกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานในส่วนภูมิภาคที่มีสถานที่สวยงาม มีกิจกรรมด้านการเกษตรที่น่าสนใจ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการจัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องพัก สถานที่จอดรถ ถนน ห้องน้ำ ห้องอาหาร ศาลาชมวิว เป็นต้น จุดเด่นของศูนย์ฯ คือมีดอกพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) ที่งดงาม ซึ่งจะบานในช่วงเดือนมกราคม และมีจำนวนนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวมากกว่าศูนย์อื่นๆ ถึง 290,000 คน (จำนวนนักท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2559-2563)
รมช.มนัญญา กล่าวว่า ด้วยกระแสการท่องเที่ยวของโลกในปัจจุบัน เป็นไปในลักษณะการพัฒนาอย่างยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร จึงเป็นการท่องเที่ยวในรูปแบบหนึ่งของไทยที่ทั่วโลกให้ความสนใจ การเกษตรมีความเกี่ยวข้องและผูกพันกับวิถีความเป็นอยู่ของคนไทย นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงและสัมผัสกับการเกษตรหลากหลายรูปแบบ ภูมิปัญญาและการพัฒนาด้านการเกษตรของไทย และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ให้คนไทยได้รู้จักการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร การท่องเที่ยวเกษตรสีเขียว แหล่งเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ และยังสามารถกระจายรายได้สู่ชุมชน เกษตรกรในพื้นที่รอบศูนย์วิจัยก็จะได้รับประโยชน์เช่นกัน จากการมีรายได้จากการจ้างงานและการขายผลผลิตทางการเกษตร เป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้มีการกระจายรายได้ไปสู่เกษตรกรและชุมชนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เยี่ยมชมแปลงพันธุ์พืชในโครงการพระราชดำริ ของในหลวงรัชการที่ 9 ฟังการบรรยายการผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งเพื่อให้เกษตรกรนำไปปลูก ชมแปลงปลูกองุ่นพันธุ์จากอาร์เมเนีย ชมต้นไม้ทรงปลูกของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ชมสวนมะคาเดเมีย และร่วมปลูกต้นพญาเสือโคร่ง (ดอกซากุระมืองไทย) ด้วย
ปัจจุบัน กรมวิชาการเกษตรมีศูนย์วิจัยที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร จำนวน 22 แห่ง อยู่ในภาคเหนือ 10 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 แห่ง ภาคใต้ 5 แห่ง ภาคตะวันออก 2 แห่ง และภาคกลาง 1 แห่ง ดังนี้ 1. ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย 2. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย (วาวี) 3. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงใหม่ (ฝาง) 4. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแม่ฮ่องสอน 5. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) 6. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (แม่จอนหลวง) 7. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแพร่ 8. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตาก (ดอยมูเซอ) 9. ศูนย์วิจัยพืชสวนสุโขทัย (ท่าชัย) 10. ศูนย์วิจัยพืชสวนเลย (ภูเรือ) 11. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ (เขาค้อ) 12. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคาย 13. ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี 14. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี 15. ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร 16. ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี 17. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่ (ยางในช่อง) 18. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรภูเก็ต 19. ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ 20. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจันทบุรี 21. ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง และ 22. สถานีทดลองพืชสวนร่มเกล้า
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37552 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. ร่วมกับผู้ประกอบการเหมืองแร่ในพื้นที่ภาคใต้ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามนโยบาย “สุริยะ” | วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563
กพร. ร่วมกับผู้ประกอบการเหมืองแร่ในพื้นที่ภาคใต้ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามนโยบาย “สุริยะ”
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 1 และ 4 ประสานงานผู้ประกอบการเหมืองแร่ในเขตพื้นที่ภาคใต้ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันและน้ำไหลหลากในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหาย รวมทั้งมีประชาชนเสียชีวิต กระทรวงอุตสาหกรรมมีความห่วงใยประชาชนผู้ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จึงออกนโยบายในการช่วยเหลือประชาชน โดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมติดตามผลกระทบความเสียหายที่เกิดขึ้น เพื่อหามาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยต่อไป
นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวเพิ่มเติมว่า กพร. ได้ประสานงานกับสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 1 สงขลา (สรข.1) และสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 4 ภูเก็ต (สรข.4) เพื่อขอความร่วมมือผู้ประกอบการเหมืองแร่ในเขตพื้นที่ภาคใต้ เข้าให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วน ทั้งในส่วนของการดำรงชีพ สาธารณูปโภค และการคมนาคม โดยได้รับความร่วมมือจากสถานประกอบการเหมืองแร่หลายรายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี อาทิ บริษัท ท่าอุแทไมนิ่ง จำกัด ผู้ประกอบการเหมืองหิน ให้การสนับสนุนรถออฟโรด (Off Road) และนำทีมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ฝ่าน้ำท่วมเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ประสบภัย, บริษัท ร็อคศิลาไมนิ่ง จำกัด ผู้ประกอบการเหมืองหิน ให้การสนับสนุนอาหารและน้ำดื่ม, บริษัท ไลยมาศ จำกัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ยิปซัม นำเครื่องจักรเข้าซ่อมแซมเส้นทางสาธารณะที่ถูกน้ำกัดเซาะจนขาดให้คืนสภาพเดิม, บริษัท แร่สัมพันธ์ จำกัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่โดโลไมต์ ร่วมกับกำนันตำบลท่าอุแท นำสิ่งของอาหารแห้งเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยกลุ่มผู้สูงอายุ, บริษัท เอส.ซี.จี. 1995 จำกัด ร่วมกับโรงโม่ศรีชัยพุนพิน ผู้ประกอบการเหมืองหิน เข้าซ่อมแซมเส้นทางสาธารณะและบ้านเรือนของชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย, บริษัท แอล.เอส.ไมนิ่ง จำกัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ยิปซัม ดำเนินการขุดลอกลำห้วยเพื่อใช้สำหรับระบายน้ำที่ท่วมอยู่ในพื้นที่ชุมชน และมอบถุงยังชีพให้กับชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง โรงโม่หินกฤษณ์ศิลาพร ได้ให้การสนับสนุนข้าวสารอาหารแห้ง จำนวน 4 หมู่บ้าน รวม 1,096 ครัวเรือน และในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช บริษัท ผาทองทุ่งสง จำกัด ได้ให้การสนับสนุนรถน้ำ เข้าช่วยทำความสะอาดบ้านเรือนและพื้นที่ชุมชนรอบเหมือง รวมทั้งเครือข่ายความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแร่ (CSR-DPIM) ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ยังได้เดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
“เหตุการณ์อุทกภัยภาคใต้ในครั้งนี้ แม้จะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้าง แต่ในทางกลับกันก็เผยให้เห็นถึงธารน้ำใจจากคนไทยทั่วทุกสารทิศที่ส่งมอบให้กับคนไทยด้วยกันในยามทุกข์ยาก ขอขอบคุณกลุ่มผู้ประกอบการเหมืองแร่ในจังหวัดภาคใต้ และเครือข่าย CSR-DPIM ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เราจะยังคงติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนต่อไป” อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37549 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนี้สาธารณะปี 2564 ทะลุเพดานไม่เป็นความจริง | วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563
หนี้สาธารณะปี 2564 ทะลุเพดานไม่เป็นความจริง
ตามเพจ “วิชชั่นใหม่เพื่อเศรษฐกิจไทยมั่นคง” เผยแพร่ข่าวว่า “ธ.โลกรายงานประเด็น ศก.ไทยจะเผชิญภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง หนึ่งในปัญหาสำคัญที่สุดคือตัวเลขหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทะลุเพดานสูงสุดรอบ 18 ปี ซึ่งเกิดจากรัฐบาลกู้เงินจำนวน 1.9 ลลบ. คิดเป็น 13% ของ GDP”
ตามที่เพจ “วิชชั่นใหม่ เพื่อเศรษฐกิจไทยมั่นคง” ได้มีการเผยแพร่ข่าว ว่า “ธนาคารโลกรายงานประเด็นเศรษฐกิจไทยจะเผชิญภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง หนึ่งในปัญหาสำคัญที่สุด คือ ตัวเลขหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทะลุเพดานสูงสุดในรอบ 18 ปี ซึ่งเกิดจากรัฐบาลกู้เงินจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 13% ของ GDP” นั้น
นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขอชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหนี้สาธารณะ ดังนี้
สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกสาขาอาชีพในวงกว้าง (Pandemic) การดำเนินมาตรการควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาด ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของทุกภาคส่วนทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงันอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและขยายเป็นวงกว้างทั่วโลกและยังไม่สามารถคาดการณ์การหยุดการระบาดได้
ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 อย่างรุนแรงเช่นกัน รัฐบาลจึงได้ตราพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท 2) พ.ร.ก. ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 วงเงิน 500,000 ล้านบาท และ 3) พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ วงเงิน 400,000 ล้านบาท ทั้งนี้ พ.ร.ก. 2) และ 3) เป็นการช่วยเหลือทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน มิได้เป็นการกู้เงินเพื่อนำไปดำเนินงาน จึงไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ ดังนั้น สรุปได้ว่า รัฐบาลจะมีภาระจากการกู้เงินโดยตรงเพียง 1 ล้านล้านบาท มิใช่ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าวแล้วจำนวน 348,761 ล้านบาท
สำหรับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 7.8 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับ ร้อยละ 49.53 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังซึ่งกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ขณะที่ปี 2543 มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงสุดเท่ากับ ร้อยละ 59.98 เนื่องจากประสบกับวิกฤติของสถาบันการเงินในประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) พบว่า รัฐบาลไทยมีหนี้อยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 44.37) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย (Emerging and Developing Asia Countries) ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 62.89 (IMF, 2563) นอกจากนี้ สัดส่วนของไทยยังอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม ASEAN และประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน เนื่องจากหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เกิดจากการกู้เพื่อเป็นรายจ่ายลงทุนในระบบงบประมาณ และการกู้เพื่อลงทุนในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้านต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ GDP ของประเทศเกิดการขยายตัวตามไปด้วย
นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agencies) ระดับสากล ได้แก่ S&P Moody’s และ Fitch ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ที่แข็งแกร่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37553 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ ยืนยันรัฐบาลไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กฎหมายและเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น | วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563
โฆษกฯ ยืนยันรัฐบาลไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กฎหมายและเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
โฆษกฯ ยืนยันรัฐบาลไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กฎหมายและเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
วันนี้ (13 ธันวาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ตราบใดที่การชุมนุมดำเนินการด้วยความสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ
รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง
บทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะนี้คือการให้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลยังมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ชุมนุมจะเข้าร่วมคณะกรรมการสมานฉันท์ที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐสภา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และนำมาสู่การหาทางออกในการแก้ไขปัญหาความเห็นต่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของประชาชนทุกกลุ่ม และนำความสงบสุขกลับสู่สังคมไทย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37554 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 15 ธันวาคม 2563 | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 15 ธันวาคม 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (15 ธันวาคม 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตำแหน่งด้านพัสดุ พ.ศ. ….
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสหกรณ์ที่จะรับจดทะเบียน วัตถุประสงค์และขอบเขตแห่งการดำเนินกิจการของสหกรณ์แต่ละประเภท พ.ศ. ….
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจชั่งตวงวัดและการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ผู้ผลิต หรือผู้ซ่อมเป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมเครื่องเล่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของอาคาร หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และจำนวนเงินเอาประกันภัยที่เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครองอาคาร หรือผู้ดำเนินการต้องจัดให้มีการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือประเภทของงานที่ห้ามผู้จ้างงานจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้านทำงาน พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ - สังคม
7. เรื่อง ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และเป้าหมายการดำเนินการปรับปรุงท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวเกาะล้าน เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
8. เรื่อง คณะกรรมการการบินพลเรือนกำหนดนโยบายด้านการบินพลเรือนของประเทศเกี่ยวกับการมอบหมายให้บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานในการให้บริการการจัดการจราจรทางอากาศ และบริการการเดินอากาศที่เกี่ยวเนื่องสำหรับการบินพลเรือนของประเทศไทย
9. เรื่อง แนวทางการจัดทำแผนระดับที่ 3 ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน... เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
10. เรื่อง แผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1(พ.ศ. 2563 - 2565)
11. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) ประจำปี 2562
12. เรื่อง รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐและความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา 50 และมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2563
13. เรื่อง แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564
14. เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคพ.ศ. 2562
15. เรื่อง รายงานผลการจัดตั้งศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC)
16. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของศูนย์บริหาร แรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre)
17. เรื่อง รายงานการรับจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
18. เรื่อง รายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำบัญชี 2562
19. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายยาเสพติดในเรือนจำและทัณฑสถาน
20. เรื่อง รายงานผลการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาของกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น
ต่างประเทศ
21. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน
22. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 14
23. เรื่อง รายงานผลการติดตามและการประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM)
24. เรื่อง ผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3
25. เรื่อง ผลการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกและคู่เจรจาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กาiรับมือความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน
26. เรื่อง ร่างข้อเสนอเรื่องมาตรการการห้ามหรือจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาหารโลก
27. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียครั้งที่ 20
แต่งตั้ง
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (นักบริหารสูง)
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
33. เรื่อง การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สำนักนายกรัฐมนตรี)
*******************
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ตำแหน่งด้านพัสดุ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ตำแหน่งด้านพัสดุ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ ศธ. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ศธ. เสนอว่า
1. พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 49 วรรคสอง (2) บัญญัติให้ข้าราชการที่ไม่เป็นข้าราชการพลเรือน ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการบริหารพัสดุ เป็นตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ตามกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐที่ข้าราชการนั้นสังกัดอยู่ และมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ประกอบกับมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมบัญญัติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอาจได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามระเบียบที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
2. ก.ค.ศ. จึงได้กำหนดตำแหน่งและมาตรฐานตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมซึ่งมีลักษณะงานที่ปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างหรือการบริหารพัสดุเช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือน ให้มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
3. ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการพลเรือนและข้าราชการประเภทอื่น จึงเห็นควรกำหนดให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรการ 38 ค. (2) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษเช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนและข้าราชการประเภทอื่น ศธ. จึงได้ยกร่างระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ตำแหน่งด้านพัสดุ พ.ศ. …. ขึ้น
4. ในคราวประชุม ก.ค.ศ. ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติเห็นชอบร่างระเบียบตามข้อ 3. และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
5. ศธ. ได้เสนอรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาด้วยแล้ว โดยได้ประมาณการรายจ่ายสำหรับการกำหนดเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามร่างระเบียบในเรื่องนี้เป็นรายปี จำนวน 5 ปี รวมถึงการประมาณการรายจ่ายสำหรับตำแหน่งดังกล่าวที่มีการเลื่อนระดับในแต่ละปี ดังนี้
หน่วย : บาท
ส่วนราชการ
ปีที่ 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
ปีที่ 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
ปีที่ 3 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
ปีที่ 4 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
ปีที่ 5 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หยุดยาวปีใหม่ “บิ๊กแรงงาน” ห่วงเพลิงไหม้ แนะนายจ้างจัดมาตรการป้องกัน | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
หยุดยาวปีใหม่ “บิ๊กแรงงาน” ห่วงเพลิงไหม้ แนะนายจ้างจัดมาตรการป้องกัน
สุชาติ ชมกลิ่น รมว. แรงงาน ห่วงเพลิงไหม้ช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ สั่งการ กสร. กำชับพนักงานตรวจแรงงาน แนะนายจ้างเตรียมความพร้อมจัดมาตรการป้องกันอัคคีภัย ย้ำนายจ้างและลูกจ้างต้องสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยร่วมกัน
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยในความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของนายจ้าง สถานประกอบกิจการ และลูกจ้างช่วงวันหยุดยาวตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 – 2 มกราคม 2564 เนื่องในเทศกาลปีใหม่ โดยสถานประกอบกิจการส่วนใหญ่จะกำหนดให้เป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกจ้างได้กลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัว และร่วมกิจกรรมเฉลิมฉลองตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดอัคคีภัย จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กำชับพนักงานตรวจแรงงานแนะนำนายจ้าง คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (คปอ.) และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) มาร่วมกันกำหนดมาตรการ หรือแนวทางป้องกันอันตรายทั้งก่อนและในช่วงวันหยุดยาว ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตลอดจนช่วยกันเฝ้าระวังการเกิดอัคคีภัย อุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบต่าง ๆ รวมไปถึงการดำเนินงานของผู้รับเหมาภายนอก หรือการกระทำที่เป็นความเสี่ยงก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง
อธิบดี กสร. กล่าวต่อว่า นอกจากมาตรการข้างต้นแล้วการทบทวนแผนฉุกเฉิน และแผนเผชิญเหตุ นายจ้างต้องให้ความสำคัญด้วย เพื่อให้สามารถรองรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขอให้ย้ำเตือนลูกจ้างปิดเครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า และระบบต่าง ๆ ที่ไม่ได้ทำงานให้เรียบร้อยก่อนวันหยุดยาว ทั้งนี้ ท่านรัฐมนตรี “สุชาติ” ฝากให้นายจ้าง ลูกจ้างได้ตระหนัก และร่วมกันรณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการให้มากที่สุด เพื่อสร้างความสุข ความปลอดภัยร่วมกันในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะมาถึงนี้
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37617 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ร่วม 18 ประเทศ ประชุมวิชาการพืชสวนแห่งเอเชีย ภายใต้แนวคิด “พืชสวนอาเซียน เพื่อโลกที่ยั่งยืน” | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ ร่วม 18 ประเทศ ประชุมวิชาการพืชสวนแห่งเอเชีย ภายใต้แนวคิด “พืชสวนอาเซียน เพื่อโลกที่ยั่งยืน”
กระทรวงเกษตรฯ ร่วม 18 ประเทศ ประชุมวิชาการพืชสวนแห่งเอเชีย ภายใต้แนวคิด “พืชสวนอาเซียน เพื่อโลกที่ยั่งยืน” สร้างเครือข่ายความร่วมมือพัฒนางานวิจัยพืชสวนของภูมิภาคเอเชียให้เข้มแข็ง
นายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมวิชาการพืชสวนแห่งเอเชียครั้งที่3หรือThe 3rd Asian Horticultural Congress (AHC 2020)ณโรงแรมมิราเคิลแกรนด์คอนเวนชั่นหลักสี่กรุงเทพฯว่าประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตพืชสวนเศรษฐกิจที่สำคัญของเอเชียและของโลกทั้งไม้ผลพืชผักไม้ดอกไม้ประดับและสมุนไพรมีมูลค่าการส่งออกของผลผลิตพืชทั้ง4กลุ่มนั้นรวมกันไม่ต่ำกว่าปีละ7หมื่นล้านบาทนอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยและพัฒนาด้านพืชสวนในสาขาต่างๆอย่างต่อเนื่องทั้งพันธุ์เทคโนโลยีการผลิตเทคโนโลยีภายหลังการเก็บเกี่ยวการเก็บรักษาการแปรรูปและการใช้ประโยชน์ รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพของผลผลิตให้มีความปลอดภัยได้มาตรฐานทั้งในประเทศและมาตรฐานสากล
“การที่ประเทศไทยได้รับเชิญให้เข้าร่วมกับอีก3ประเทศ ซึ่งเป็นประเทศผู้ริเริ่มการประชุมวิชาการพืชสวนแห่งเอเชียคือสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลีจะมีส่วนเพิ่มศักยภาพทางวิชาการและนวัตกรรมด้านพืชสวนในภูมิภาคเอเชียให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไปซึ่งการประชุมครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่นักวิชาการจากประเทศต่างๆจะได้แสดงศักยภาพทางวิชาการและนวัตกรรมด้านพืชสวนตลอดจนเกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนำเสนอนวัตกรรมเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนางานวิจัยด้านพืชสวนของแต่ละประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นรวมทั้งการสร้างเครือข่ายทางวิชาการด้านพืชสวนของภูมิภาคเอเชียอันจะส่งผลให้เกิดความร่วมมืออย่างยั่งยืนต่อไปด้วย”รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าว
นายอนันต์ดาโลดมนายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทยในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดการประชุมวิชาการพืชสวนแห่งเอเชียครั้งที่3 (AHC 2020)เปิดเผยว่าสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทยได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมวิชาการพืชสวนแห่งเอเชียครั้งที่2เมื่อปีพ.ศ. 2559 โดยครั้งนั้นมีสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่เมืองเฉิงตูซึ่งการประชุมดังกล่าวที่ประชุมเห็นชอบให้สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการพืชสวนแห่งเอเชียครั้งที่3 ในปีพ.ศ. 2563 ทั้งนี้การประชุมวิชาการพืชสวนแห่งเอเชียเป็นความริเริ่มของสมาคมพืชสวนของ3ประเทศคือญี่ปุ่นสาธารณรัฐเกาหลีและสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยมีการประชุมครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2551ที่เกาะเซจูสาธารณรัฐเกาหลี
สำหรับการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด“พืชสวนอาเซียนเพื่อโลกที่ยั่งยืน”เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยด้านพืชสวนใน4กลุ่มคือพืชผักไม้ผลไม้ดอกไม้ประดับและสมุนไพรหัวข้อนำเสนอแบ่งออกเป็น7กลุ่มคือการปรับปรุงพันธุ์และเทคโนโลยีชีวภาพสรีรวิทยาและการผลิตธาตุอาหารพืชและการผลิตเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวการส่งเสริมการเกษตรและธุรกิจเกษตรการแปรรูปผลผลิตและเครื่องจักรกลการเกษตรโดยมีผู้บรรยายพิเศษนักวิจัยผู้นำเสนอผลงานและผู้ร่วมประชุมรวมประมาณ400คนเป็นชาวต่างประเทศร่วมประชุมออนไลน์รวม105คนจาก18ประเทศได้แก่ออสเตรเลียบังคลาเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนอิตาลีญี่ปุ่นรัสเซียนิวซีแลนด์เกาหลีใต้มาเลเซียฟิลิปปินส์โปแลนด์ สิงคโปร์แอฟริกาใต้ไต้หวันเวียดนามสหรัฐเมริกาอิสราเอลและอินโดนีเซียทั้งนี้มีผลงานวิจัยที่นำเสนอของต่างประเทศรวม39เรื่อง
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37616 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมจัดงาน ‘ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน’ | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
เตรียมจัดงาน ‘ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน’
กระทรวงเกษตรฯ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เตรียมจัดงาน ‘ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน’ ระหว่างวันที่ 17 - 23 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์การค้า พาราไดซ์ พาร์ค ศรีนครินทร์
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมบูธประชาสัมพันธ์การจัดงาน ‘ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน’ ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยการจัดงานดังกล่าว มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 - 23 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์การค้า พาราไดซ์ พาร์ค ศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นความตั้งใจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผ่านเกษตรกรและผู้ประกอบการ โดยร่วมกันส่งเสริมการบริโภคในประเทศ ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มจากการขยายช่องทางการตลาด ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงที่ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อจัดงานและกิจกรรม หรือหาของขวัญปีใหม่เพื่อมอบให้แก่กัน โดยแคมเปญ ‘ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน’ กระทรวงเกษตรฯ ได้จับมือกับพันธมิตรทั้งจากภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค, บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย), บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รวมทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ มาร่วมกันจัดแคมเปญในครั้งนี้ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกชมตัวอย่างสินค้าและชิมฟรีได้ตลอดทั้งงาน อีกทั้งสินค้าและการจัดส่งยังได้รับการการันตีจากกระทรวงเกษตรฯ ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลผลิตและสินค้าเกษตรคุณภาพดีได้มาตรฐานและยังคงความสดใหม่ตามอย่างเดิมแน่นอน
สำหรับกิจกรรมภายในงานจะมีการออกบูธจำหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพดี ทั้งของสด แปรรูป และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอีกมากมายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ มากกว่า 80 บูธ โดยผู้บริโภคสามารถเลือกชิมและชมสินค้าได้ฟรีตลอดทั้งงานก่อนตัดสินใจสั่งซื้อ โดยสามารถกดสั่งสินค้าได้ทันทีผ่านแพลตฟอร์ม หรือ QR Code ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำในทุกขั้นตอน อีกทั้งสามารถกำหนดวันจัดส่งหรือส่งมอบ เป็นของขวัญในเทศกาลปีใหม่ได้ ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดทั้งเวลา การเดินทาง และยังได้รับสินค้าเกษตรส่งตรงถึงบ้านท่านอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ ทั้งการสาธิตการปรุงอาหาร การนำเสนอโชว์สินค้าและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีความน่าสนใจ การเสวนาเพื่อให้ความรู้ในการจำหน่ายสินค้าบนโลกออนไลน์ และการถ่ายทอดประสบการณ์จากการเป็นผู้ค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งโปรโมชั่นพิเศษต่าง ๆ อีกมากมาย โดยกระทรวงเกษตรฯ จะมีการถ่ายทอดกิจกรรมและการเสวนาผ่าน Facebook Live ตลอดการจัดงานทั้ง 7 วัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37623 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ร่วมยักษ์ใหญ่ไมโครซอฟท์ หนุนทักษะดิจิทัลป้อนตลาดแรงงาน | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ก.แรงงาน ร่วมยักษ์ใหญ่ไมโครซอฟท์ หนุนทักษะดิจิทัลป้อนตลาดแรงงาน
กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 8 หน่วยงาน เตรียมผลิตครูฝึกด้านดิจิทัล ต่อยอดพัฒนาบัณฑิตป้อนตลาดแรงงาน รองรับมาตรฐานฝีมือแรงงาน และไลเซนต์
วันที่ 15 ธันวาคม 2563 นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยหลังร่วมแถลงข่าวความร่วมมือในโครงการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลเพื่อการจ้างงาน ระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กับบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ บริษัท จัดหางาน จ็อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด
องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) และมูลนิธิกองทุนไทย รวม 8 หน่วยงาน ณ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ชั้น 38 อาคาร ซี.อาร์.ซี. ออลซีซันส์เพลส ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ โดยมี นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด และผู้บริหารของทั้ง 8 หน่วยงานร่วมแถลงข่าว โดยทุกหน่วยงานจะร่วมกันขับเคลื่อนและให้การสนับสนุนการจัดการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงานทักษะด้านดิจิทัลเพื่อหนุนตลาดแรงงานและช่วยเหลือแรงงานที่ตกงานเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
อธิบดี กพร.กล่าวต่อไปว่า โครงการดังกล่าวเป็นการให้ความช่วยเหลือแรงงานภายใต้การบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายตามแนวทางประชารัฐเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงแรงงาน โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานด้านการพัฒนาและยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพ แก้ไขปัญหาการว่างงานพร้อมทั้งส่งเสริมให้แรงงานที่ถูกเลิกจ้าง จำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ แรงงานภาคการท่องเที่ยว แรงงานในภาคอุตสาหกรรม และแรงงานภาคบริการอื่นๆ เพื่อให้มีงานทำมีรายได้สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ โดย กพร. ดำเนินการเกี่ยวกับจัดฝึกอบรมบุคลากรฝึกของ กพร. เป้าหมาย 120 คน ในหลักสูตรระดับ Intermediate ถึงระดับ Advance ผ่านโปรแกรม Microsoft Teams 2016 แบบออนไลน์ เพื่อนำความรู้ไปขยายผลให้แก่แรงงานกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงจัดฝึกอบรมให้แก่แรงงานที่ถูกเลิกจ้าง นักศึกษา และแรงงานในสถานประกอบกิจการ หลักสูตร พนักงานการใช้คอมพิวเตอร์ (Microsoft Office) พร้อมทั้งจัดทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติให้แก่แรงงาน และเชื่อมโยงตำแหน่งงานกับเว็บไซต์กรมการจัดหางาน JobDB.com เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการหางาน และจัดทำคลิปคู่มือการฝึกอบรม Microsoft Office (Word Excel และ Power Point) เวอร์ชันภาษาไทยเผยแพร่ผ่านเครือข่ายและแพลทฟอร์มของ กพร.อีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ กพร.จะขยายเครือข่ายความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือแรงงานด้านดิจิทัลให้กว้างขวางและมีประสิทธิภาพ
มากขึ้นต่อไป สำหรับแรงงานที่สนใจหลักสูตร Soft skills และ Hard skills อื่นๆ อาทิ การซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าการประยุกต์ใช้งาน Internet of Things (IoT) สำหรับการเกษตร การติดตั้งและรักษาระบบเซลล์แสงอาทิตย์ สามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน www.dsd.go.th หัวข้อ สมัครฝึกอบรม หรือสอบถามสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 อธิบดี กพร.กล่าว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37628 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เปิดเวทีสัมมนาประชาพิจารณ์ต่อการจัดทำแผนตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒ | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ดีอีเอส เปิดเวทีสัมมนาประชาพิจารณ์ต่อการจัดทำแผนตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒
ดีอีเอส เปิดเวทีสัมมนาประชาพิจารณ์ต่อการจัดทำแผนตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวเปิดงานสัมมนาประชาพิจารณ์ต่อการจัดทำแผนตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ห้องวายุภักษ์ ๖ (ชั้น ๕) โรงแรมเซ็นทาราศูนย์ราชการและศูนย์การประชุม โดยการรับฟังความคิดเห็นในวันนี้ เป็นการดำเนินการสืบเนื่องมาจาก การประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ ในช่วงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ ซึ่งผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ได้มีการอภิปราย และเสนอความคิดเห็นต่อแผนฉบับต่าง ๆ ในหลายประเด็น และสำนักงาน ยังได้เปิดโอกาสให้หน่วยงานต่าง ๆ ส่งความเห็น และแนวทางการปรับปรุงแก้ไข ผ่านทางเว็บไซต์ มาเพื่อประกอบการดำเนินการ ฯ ของสำนักงาน
*****************
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37634 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ร่วมแสดงความยินดีและชื่นชม เสาวลักษณ์ ทองก๊วย สตรีพิการไทย ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ สมัยแรก | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
รมว.พม. ร่วมแสดงความยินดีและชื่นชม เสาวลักษณ์ ทองก๊วย สตรีพิการไทย ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ สมัยแรก
รมว.พม. ร่วมแสดงความยินดีและชื่นชม เสาวลักษณ์ ทองก๊วย สตรีพิการไทย ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ สมัยแรก
วันนี้ (15 ธ.ค. 63) เวลา 14.00 น. ที่ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วย นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และนางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ร่วมแสดงความยินดีและมอบช่อดอกไม้ให้แก่ นางสาวเสาวลักษณ์ ทองก๊วย สตรีพิการไทย ในโอกาสที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ วาระ 4 ปี (ค.ศ. 2020 - 2024) เป็นสมัยแรก
นายจุติกล่าวว่า วันนี้ตนขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของคุณเสาวลักษณ์ ซึ่งเป็นความสำเร็จของประเทศไทยและสิ่งที่น่าภาคภูมิใจมากและนับเป็นเป็นผลงานชิ้นแรกๆ ของรัฐบาลที่ทำงานบูรณาการกันทุกกระทรวง ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) รวมถึงกลุ่มเอ็นจีโอทั้งหมด ส่งผลให้เกิดความสำเร็จขึ้นในวันนี้ และผลสำเร็จส่วนหนึ่งมาจากคุณสมบัติของคุณเสาวลักษณ์ และการเตรียมงานที่ดี ทั้งนี้ ขอชื่นชมคุณเสาวลักษณ์ว่าสามารถเป็นตัวแทนที่ดีของประเทศไทยได้ ซึ่งเป็นผู้มีวิสัยทัศน์และมีวิธีคิดในการทำงานที่ฉีกแนวออกไป ตนเชื่อว่าการทำงานเช่นนี้จะเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชนที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมต่อไป ฉะนั้น วันนี้นับว่าเป็นวันที่ประเทศไทยดีขึ้นอีกหนึ่งวัน และจะดีต่อไปเรื่อยๆ โดยครั้งนี้ ประเทศไทยได้รับคัดเลือกเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายและประสบความสำเร็จได้ ตนขอขอบคุณทุกคนที่ปิดทองหลังพระที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย
นางสาวเสาวลักษณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้สร้างความท้าทายให้ทั่วโลก โดยปกติแล้วก่อนจะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น เรื่องของคนพิการและกลุ่มเปราะบาง นับเป็นเรื่องที่ท้าทายอยู่แล้ว ฉะนั้น เป็นเรื่องที่เราต้องมาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรในเรื่องของคนพิการที่กระจายเข้าไปอยู่ในทุกวาระ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเรื่องความปลอดภัยต่างๆ ซึ่งตนคิดว่าเราต้องทำงานเป็นทีม ไม่ใช่เฉพาะแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ต้องหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีกลไกที่เอื้อต่อการทำงานระหว่างประเทศทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากล ทั้งนี้ ตนขอขอบคุณรัฐบาล กระทรวง พม. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ให้การสนับสนุนตนและคนพิการมาอย่างต่อเนื่อง และในฐานะตัวแทนประเทศไทย ตนจะปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการให้ดีที่สุด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนพิการในประเทศไทยต่อไป
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37640 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บทบาททหารในด้านการคุ้มครองพยาน มุ่งสร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม #IWillProtectYou | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
บทบาททหารในด้านการคุ้มครองพยาน มุ่งสร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม #IWillProtectYou
กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จัดงานสัมมนาความร่วมมือด้านการคุ้มครองพยานระหว่าง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กับสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
โดยกรมพระธรรมนูญ ณ โรงแรมเซ็นทรา ห้อง 204 ภายในศูนย์ราชการ (แจ้งวัฒนะ) กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือในการจัดทำและฝึกอบรมสัมมนาหลักสูตรคุ้มครองพยาน ระหว่างกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กับสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่มุ่งหวังสร้างประโยชน์แก่หน่วยกำลังพลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นชุดคุ้มครองความปลอดภัยแก่พยาน ให้มีทัศนคติและความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับงานคุ้มครองพยาน เพื่อเป้าหมายสุดท้ายคือการสร้งความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมแก่พยาน และประชาชน
โดยภายในงานมีการประกาศเจตนารมณ์การดำเนินงานรวมกันของทั้งสองหน่วยงาน และการเสวนาในหัวข้อ "บทบาททหารในการคุ้มครองพยาน" โดยได้รับเกียรติจาก พลเอกประชาพัฒน์ วัจนะรัตน์ เจ้ากรมพระธรรมนูญ และนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในการประกาศเจตนารมณ์ ของทั้งสองหน่วยงานมุ่งมั่นที่จะประสานความร่วมมือกันเพื่อให้การปฏิบัติงานคุ้มครองพยานในคดีอาญาเป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอญา พ.ศ. 2546 ทั้งนี้เป็นการกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของทหารในด้านการคุ้มครองพยาน รวมถึงโครงสร้างของหน่วยงาน กลไก เครื่องมือ ที่ทั้งสองหน่วยงานได้เตรียมพร้อมไว้เพื่อสนับสนุนการทำหน้าที่คุ้มครองพยานแก่กำลังพล
#ใครไม่ทำทหารทำ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37629 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ร่วมคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อและโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง(สายสีแดง) | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ร่วมคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อและโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง(สายสีแดง)
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อและโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง(สายสีแดง) ณ สถานีกลางบางซื่อ ถนนกำแพงเพชร เขตจตุจักร กทม.
วันนี้ (15 ธันวาคม 2563) 14.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี พลเอก นายประยุทธ์ จันทร์โอชา คณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อและโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ณ สถานีกลางบางซื่อ ถนนกำแพงเพชร เขตจตุจักร กทม.
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37637 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.กำชับผู้บริหารทุกระดับให้โรงพยาบาลเป็นพื้นที่สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ปลัด สธ.กำชับผู้บริหารทุกระดับให้โรงพยาบาลเป็นพื้นที่สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์
ปลัด สธ.กำชับผู้บริหารทุกระดับให้โรงพยาบาลเป็นพื้นที่สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับผู้บริหารทุกระดับให้โรงพยาบาลเป็นพื้นที่สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ ย้ำเตือนบุคลากรสาธารณสุขเป็นตัวอย่างสวมหน้ากากป้องกันโควิด 19 ลดความเสี่ยงการรับและแพร่กระจายเชื้อ หลังสำรวจล่าสุดพบสวมหน้ากากในโรงพยาบาลเพียงร้อยละ 73.49 ย้ำเป็นวัคซีนป้องกันโรคที่ทำได้ด้วยตนเอง
วันนี้ (15 ธันวาคม 2563) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้กำชับให้ตื้นที่สวมหน้ากาก 100 เปอรอ และจะื่อให้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขทุกระดับ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ให้โรงพยาบาลเป็นพื้นที่สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ ย้ำเตือนบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เป็นตัวอย่างประชาชนในการป้องกันโรคโควิด 19 และช่วยสอดส่อง แนะนำประชาชนให้สวมหน้ากากเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลขอให้สวมหน้ากากตลอดเวลา ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัยเปรียบเสมือนวัคซีนป้องกันโรคที่ทำได้ด้วยตนเอง มีประสิทธิภาพสูง มีความคุ้มค่าโดยไม่ต้องลงทุน จากผลสำรวจล่าสุดพบว่า ประชาชนสวมหน้ากากในโรงพยาบาลเพียงร้อยละ 73.49 รวมทั้งให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.กระตุ้นเตือนคนในชุมชนให้สวมหน้ากาก ลดความเสี่ยงการรับและแพร่กระจายเชื้อ ป้องกันตนเอง ครอบครัว และสังคมจากโรคโควิด 19 เนื่องจากขณะนี้พบว่าประชาชนมีพฤติกรรมสวมหน้ากากลดลงไม่ถึงร้อยละ 90 ทั้งที่การสวมหน้ากากถือเป็นวัคซีนที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคโควิด 19 ที่ประชาชนสามารถทำได้เองในขณะนี้
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจอนามัยโพล ครั้งที่ 3 วันที่ 7-11 ธันวาคม 2563 เก็บตัวอย่างจากประชาชนทั่วประเทศจำนวน 23,511 คน เรื่องการสวมหน้ากาก พบว่า สวมหน้ากากเป็นประจำร้อยละ 86.19 เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ 2 (วันที่ 23-27 พฤศจิกายน) ที่สวมหน้ากากป้องกันร้อยละ 81.21 สำหรับสถานที่สาธารณะที่ประชาชนสวมหน้ากากเป็นประจำมากที่สุด คือ ห้างสรรพสินค้า/คอมมูนิตีมอลล์ ร้อยละ 75.35 โรงพยาบาลร้อยละ 73.49 ร้านสะดวกซื้อ ร้อยละ 71.46 ตลาด/ตลาดนัดร้อยละ 68.57 ห้องประชุม/ศูนย์ประชุมร้อยละ 68.54 และรถสาธารณะ ร้อยละ 68.22 ส่วนสถานที่ที่ประชาชนสวมหน้ากากน้อย คือ สวนสาธารณะ/สนามกีฬาร้อยละ 53.58 และฟิตเนส/โรงยิมร้อยละ 54.43 เนื่องจากต้องออกกำลังกาย และใส่หน้ากากเพียงบางเวลาเท่านั้น สำหรับความกังวลของประชาชนต่อสถานการณ์โควิด 19 พบว่า ส่วนใหญ่ มีความกังวลในระดับปานกลางร้อยละ 37 กังวลมากร้อยละ 33.6 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 23.3 กังวลเล็กน้อยร้อยละ 25.3 และรู้สึกเฉย ๆ ร้อยละ 4.1
"ขอให้ประชาชนร่วมมือกันสวมหน้ากากทุกครั้งที่ออกนอกบ้านและตลอดเวลาขณะอยู่ในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันโรคโควิด 19 แล้ว ยังช่วยลดการป่วยจากโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ด้วย รวมทั้งล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารร่วมกันควรใช้ช้อนกลางส่วนตัว เว้นระยะห่าง ลดการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัด และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการ ด้วยแพลตฟอร์มไทยชนะ เป็นการช่วยประเทศไทยในการควบคุมป้องกันโรค" นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
****************************** 15 ธันวาคม 2563
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37625 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ปลื้ม!! สปส.รับรางวัล ASSA Recognition Award 2020 สาขาการสื่อสารกลยุทธ์ที่โดดเด่น | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
‘สุชาติ’ปลื้ม!! สปส.รับรางวัล ASSA Recognition Award 2020 สาขาการสื่อสารกลยุทธ์ที่โดดเด่น
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้รับรางวัล ASSA Recognition Award 2020 สาขาการสื่อสารกลยุทธ์ที่โดดเด่น จากกรรมการบริหารสมาคม ASSA พร้อมมุ่งมั่นทุ่มเทพัฒนาระบบบริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เ
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ในฐานะกรรมการบริหารสมาคม ASSA ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารสมาคม ASSA ครั้งที่ 37 ผ่านระบบทางไกลผ่านจอภาพ ภายใต้หัวข้อ“การขยายความคุ้มครองการประกันสังคม” ประกอบด้วย การประชุมสัมมนาก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารสมาคม ASSA การประชุมคณะกรรมการบริหารสมาคม ASSA และการประชุมฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารสมาคม ASSA ในวันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ณ ห้องประชุมจีรศักดิ์ สุคนธชาติ ชั้น 2 อาคารอำนวยการ โดยมี นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นางสาวบุปผา เรืองสุด ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้แทนสำนักงานประกันสังคมเข้าร่วมการประชุม เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการขยายความคุ้มครองด้านการประกันสังคม และการดำเนินการด้านประกันสุขภาพสำหรับแรงงานนอกระบบ รวมทั้งการสร้างหลักประกันที่ยั่งยืน
นายสุชาติยังกล่าวอีกว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารสมาคมอาเซียน ครั้งที่ 37 ซึ่งเป็นการประชุมทางไกลจัดขึ้นที่ประเทศกัมพูชาในครั้งนี้ได้มีการประกาศรางวัล ASSA Recognition Award 2020 เรื่อง “การสื่อสารเชิงกลยุทธ์”สาขา“Strategic Communication Recognition Award” ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้รับรางวัล ASSA Recognition Award 2020 สาขาการสื่อสารกลยุทธ์ที่โดดเด่น จากโครงการ “การสื่อสารเชิงกลยุทธ์” ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์บริการข้อมูล 1506 ที่มีสายด่วน 24 ชั่วโมง และช่องทาง Online Channels เครือข่ายประกันสังคม ทั้งหน่วยงานภาครัฐ บวร (บ้าน วัด โรงเรียน โรงงาน) และเจ้าหน้าที่ประกันสังคม (Line Group) และการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 เป็นต้น
“ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขอแสดงความยินดีกับสำนักงานประกันสังคม ที่ได้รับรางวัล ASSA Recognition Award 2020 สาขาการสื่อสารกลยุทธ์ที่โดดเด่น ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม มีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะมุ่งมั่นทุ่มเทพัฒนาระบบบริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจด้านสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองที่ดีที่สุดแก่ผู้ประกันตนอย่างต่อเนื่องนายสุชาติกล่าวในท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37619 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวสระบุรี จองคิวรักษาคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทย ผ่านแอปพลิเคชัน Dr.Ganjain TTM | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ชาวสระบุรี จองคิวรักษาคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทย ผ่านแอปพลิเคชัน Dr.Ganjain TTM
ชาวสระบุรี จองคิวรักษาคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนไทย ผ่านแอปพลิเคชัน Dr.Ganjain TTM
โรงพยาบาลหนองแค และโรงพยาบาลบ้านหมอ จ.สระบุรี เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ และศูนย์การแพทย์ทางเลือก แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน จองคิวรักษากัญชาทางการแพทย์แผนไทย" ผ่านแอปพลิเคชัน Dr.Ganjain TTM หรือจองล่วงหน้าได้ที่หน่วยบริการ เริ่มตั้งแต่วันนี้ (15 ธันวาคม 2563) เป็นต้นไป
วันนี้ (15 ธันวาคม 2563) ที่จังหวัดสระบุรี นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์กฤษณ์ สกุลแพทย์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสระบุรี นายแพทย์ธนะวัฒน์ วงศ์ผัน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านหมอ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลหนองแค เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ และศูนย์การแพทย์ทางเลือก แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน ที่โรงพยาบาลหนองแคและโรงพยาบาลบ้านหมอ พร้อมเปิดศูนย์บำบัดรักษา ผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ อัมพาต) และโรคเรื้อรัง ที่ต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการฝังเข็มรักษากระตุ้นสมองและระบบประสาท
นายวัชรพงศ์กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนที่มีความพร้อม เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ บูรณาการรักษาทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทย ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากยากัญชา สารสกัดกัญชาทางการแพทย์อย่างครอบคลุมเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ป่วย ในการรักษา บรรเทาอาการ และความทุกข์ทรมาน จากโรคร้ายแรงและโรคเรื้อรัง ทำให้เข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ สมุนไพรไทย ในสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสมและปลอดภัย เกิดประโยชน์ต่อการดูแลรักษาและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย
สำหรับคลินิกกัญชาทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลหนองแค และโรงพยาบาลบ้านหมอนี้ จะใช้ตำรับยา 3 ตำรับในการรักษา คือ ตำรับยาศุขไสยาศน์ ตำรับยาทําลายพระสุเมรุ และน้ำมันกัญชาสูตรอาจารย์เดชา และผู้เข้ารับบริการสามารถจองคิวรักษาผ่านแอปพลิเคชัน "กัญชาทางการแพทย์แผนไทย" (Dr.Ganjain TTM) หรือจองล่วงหน้าได้ที่หน่วยบริการ โดยเปิดได้ตั้งแต่วันนี้ (15 ธันวาคม 2563) เป็นต้นไป
ทั้งนี้ จังหวัดสระบุรี ได้เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์แล้ว 6 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสระบุรี โรงพยาบาลเสาไห้ โรงพยาบาลพระพุทธบาท โรงพยาบาลวิหารแดง และอีก 2 แห่งที่เปิดให้บริการในวันนี้ คือโรงพยาบาลหนองแค และโรงพยาบาลบ้านหมอ มีแผนจะเปิดให้บริการเพิ่มที่โรงพยาบาลแก่งคอย และจะขยายให้ครอบคลุมทุกหน่วยบริการในจังหวัด เพื่อรองรับการให้บริการประชาชนในพื้นที่ลดเวลารอคอยในการรักษา ลดแออัด ลดการส่งต่อไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรักษาด้วย สำหรับคลินิกให้คำปรึกษาได้เปิดให้บริการครบทุกแห่งแล้ว
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37631 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ชู “โครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำ” ป้องกันและแก้ปัญหาน้ำเสียดึงโรงงานใหญ่ร่วมขับเคลื่อน 15 ลำน้ำ ในปี 64 | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ก.อุตฯ ชู “โครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำ” ป้องกันและแก้ปัญหาน้ำเสียดึงโรงงานใหญ่ร่วมขับเคลื่อน 15 ลำน้ำ ในปี 64
กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมนำเสนอโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10)
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงฯ เตรียมนำเสนอโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) ต่อศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.จอส.พระราชทาน) ซึ่งมอบหมายให้กระทรวงฯ ดำเนินการขยายผลการพัฒนาลุ่มน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2564 กระทรวงฯ จะขับเคลื่อนโครงการจิตอาสาเกี่ยวกับการพัฒนาลุ่มน้ำในพื้นที่ 17 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุม 5 คลองและ 10 แม่น้ำสายหลัก แต่ละโครงการเน้นการป้องกันและแก้ปัญหาน้ำเสียของพื้นที่ รวมทั้งปรับภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบ โดยจะประสานขอความร่วมมืออุตสาหกรรมรายใหญ่ช่วยเป็นแกนหลัก เช่น เอสซีจี ปตท.จีซี เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น พร้อมทำกิจกรรมจิตอาสาร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้นำชุมชนและประชาชนจิตอาสา ส่วนราชการระดับจังหวัดและท้องถิ่น คาดว่าตลอดทั้งปีจะมีจิตอาสาเข้าร่วมกิจกรรมฯ มากกว่า 5,000 คน และเมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงฯ ยังส่งเครื่องพ่นหมอกไอน้ำ จำนวน 15 ชุด พร้อมเครื่องกำจัดมลพิษทางอากาศ PM 2.5 และ PM 10 รวม 2 เครื่อง ไปช่วยแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็กในจังหวัดเชียงรายอีกด้วย และขณะนี้ กระทรวงฯ อยู่ระหว่างการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำโครงการเศรษฐกิจหมุนเวียน “BCG Model” นำร่องในจังหวัดสมุทรปราการ โดยมีแผนที่จะต่อยอดการจัดการขยะอินทรีย์ที่เน่าเสียและย่อยสลายได้ เช่น จากถังดักไขมันที่กระทรวงฯ แจกจ่ายให้กับประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบลำน้ำ มาสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น เป็นปุ๋ยหมักชีวภาพและน้ำมันดิบ เป็นต้น
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำฯ ปีนี้จะขยายพื้นที่จากกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นดำเนินการในจังหวัดต่าง ๆ โดยกระทรวงฯ ได้จัดทำแผนตรวจคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น โดยให้เจ้าหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังโรงงานตามแผนฯ เพื่อไม่ให้โรงงานระบายน้ำเกินกว่าค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด และเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำจาก 5 ตัวอย่าง เป็นกว่า 10 - 100 ตัวอย่าง รวมทั้งแก้ไขปัญหาของพื้นที่เชิงลึก ตัวอย่างที่น่าสนใจ (Highlight) เช่น 1. การพัฒนานวัตกรรม กังหันน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ตาข่ายดักขยะ ในคลองแสนแสบกรุงเทพฯ การติดตั้งทุ่นดักขยะลอยน้ำและเครื่องบำบัดน้ำเสียชุมชนในคลองเปรมประชากร การพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียแก่โรงพยาบาลน้ำพอง จ.ขอนแก่น 2. การสร้างระบบบริหารจัดการ เช่น จัดจุดรวมน้ำมันใช้แล้วจากเรือประมงขนาดเล็กและประสานโรงงานมารับซื้อในลุ่มน้ำปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ การปลูกต้นไม้และเสริมแนวคันกั้นน้ำให้รองรับมวลน้ำที่มากขึ้น ในแม่น้ำชี จ.ร้อยเอ็ด การตั้งจุดทิ้งขยะพลาสติกในสถานที่ราชการและโรงงานขนาดเล็ก เพื่อเข้าสู่การรีไซเคิล รวมทั้งการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (Upcycling) เช่น เสื้อ จีวรพระ ฯลฯ ใน จ.สมุทรปราการ 3. การพัฒนาองค์ความรู้ สอดแทรกในกิจกรรมแข่งขันพายเรือ/ว่ายน้ำ ในทะเลสาบสงขลา การอบรมเครือข่ายพัฒนาลุ่มน้ำต่างๆ การจัดการผักตบชวาแบบยั่งยืนในแม่น้ำกวง จ.ลำพูน และ 4. การปรับปรุงภูมิทัศน์ เก็บขยะ กำจัดวัชพืช ซึ่งแทรกอยู่ในกิจกรรมของการพัฒนา เพื่อให้โรงงานและชุมชนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน ตลอดจนได้เชื่อมโยงการจัดกิจกรรมจิตอาสากับประชาชนจิตอาสาและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถตอบสนองยุทธศาสตร์และตัวชี้วัดของเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco town) ของกระทรวงฯ ได้อีกด้วย” นางวรวรรณ กล่าว สำหรับโครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำของกระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งอยู่บนพื้นฐานภารกิจการกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมต้นแบบ ควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วม และมีแผนดำเนินการในพื้นที่ 15 คลอง/ลุ่มน้ำ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร คลองแสนแสบ คลองเปรมประชากร สมุทรปราการ คลองขุดเจ้าเมือง สมุทรสาคร คลองสี่วาพาสวัสดิ์ ลำพูน แม่น้ำกวง นครสวรรค์ ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา อยุธยา แม่น้ำป่าสัก ปทุมธานี แม่น้ำเจ้าพระยา ฉะเชิงเทรา แม่น้ำบางปะกง ประจวบคีรีขันธ์ ลุ่มน้ำปราณบุรี ขอนแก่น แม่น้ำพอง ร้อยเอ็ด แม่น้ำชี นครราชสีมา และบุรีรัมย์ แม่น้ำมูล สุราษฎร์ธานี ลุ่มน้ำตาปี และ สงขลา5 คลองสาขาของลุ่มทะเลสาบสงขลา นอกจากนี้ 15 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ยังร่วมจัดกิจกรรมจิตอาสาอีก 22 กิจกรรมย่อย แบ่งเป็นกิจกรรมการรับมือภัยพิบัติ จำนวน 2 กิจกรรม และกิจกรรมพัฒนาด้านต่างๆ จำนวน 20 กิจกรรมโดยเกี่ยวข้องกับสาธารณสุข คุณภาพชีวิต การให้ความรู้ และสิ่งแวดล้อม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37639 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยหนุนวิจัยวัคซีนโควิด เตรียมแพลตฟอร์มรองรับบริจาคโครงการ“วัคซีนเพื่อคนไทย”เริ่ม 18 ธ.ค.นี้ | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
กรุงไทยหนุนวิจัยวัคซีนโควิด เตรียมแพลตฟอร์มรองรับบริจาคโครงการ“วัคซีนเพื่อคนไทย”เริ่ม 18 ธ.ค.นี้
ธ.กรุงไทยสนับสนุนการค้นคว้า วิจัย และผลิตวัคซีนโควิด-19 ในไทยเพื่อคนไทย เตรียมพร้อมแพลตฟอร์มและโครงสร้างพื้นฐานชำระเงินให้กับมูลนิธิซียูเอ็นเทอร์ไพรซ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับรับบริจาคเงินจาก 1 ล้านคน คนละ 500 บ. ในโครงการ “วัคซีนเพื่อคนไทย”
ธนาคารกรุงไทยสนับสนุนการค้นคว้า วิจัย และผลิตวัคซีนโควิด-19ในไทยเพื่อคนไทย เตรียมพร้อมแพลตฟอร์ม และโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงิน ให้กับมูลนิธิซียูเอ็นเทอร์ไพรซ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับการรับบริจาคเงินจาก 1 ล้านคน คนละ 500 บาท ในโครงการ “วัคซีนเพื่อคนไทย” มั่นใจเปิดรับบริจาควันแรก 18 ธ.ค.นี้ ระบบเสถียร ไม่สะดุด
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามที่มูลนิธิซียูเอ็นเทอร์ไพรซ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกับองค์กรพันธมิตร จัดทำโครงการรับบริจาค เพื่อสนับสนุนนักวิจัยไทย ค้นคว้า วิจัย และผลิตวัคซีนต้านโควิด- 19 ในประเทศไทย (วัคซีนของคนไทยเพื่อคนไทย) โดยมีเป้าหมายรับบริจาคเงินจาก 1 ล้านคน คนละ 500 บาท จะเริ่มเปิดรับบริจาควันแรกในเวลา 09.00 น. วันที่18 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
ธนาคารกรุงไทยได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดำเนินการแพลตฟอร์มและโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงิน (payment) ให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้สามารถรองรับการรับบริจาคจากประชาชนจำนวน 1 ล้านคน เนื่องจากระบบการชำระเงินของธนาคาร มีความพร้อมและสามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากในเวลาเดียวกัน เห็นได้จากการสนับสนุนโครงการต่างๆ ของภาครัฐหลายโครงการในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนผู้ลงทะเบียนพร้อมกันจำนวนมาก เช่น ชิมช้อปใช้ เราไม่ทิ้งกัน และคนละครึ่ง เป็นต้น นอกจากนี้ ธนาคารยังได้เพิ่มความสามารถในการรองรับการทำธุรกรรมให้กับระบบถึง 6 เท่า เพื่อรองรับโครงการนี้ จึงมั่นใจว่าการเปิดรับบริจาควันแรก ในวันที่ 18 ธันวาคม 2563 จะเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ไม่สะดุด
ทั้งนี้ แพลตฟอร์มและโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารที่เตรียมไว้ สามารถรองรับการบริจาคได้จากโมบายแบงกิ้งทุกธนาคาร มีความสะดวกสบายและมีขั้นตอนง่ายในการเข้าถึง เพียงกรอกเลขบัตรประชาชน เพื่อสร้าง คิวอาร์โค้ด บนเว็บไซต์ www.CUEnterprise.co.th ของจุฬาฯ หลังจากนั้นนำคิวอาร์โค้ดไปสแกนจ่ายเงิน ด้วย โมบายแบงกิ้งของธนาคาารใดก็ได้ หรือหากยังไม่มีโมบายแบงกิ้ง สามารถบริจาคผ่านสาขาของธนาคารที่มีอยู่กว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ ระบบของธนาคารยังสามารถติดตามข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ และระบบจะปิดรับบริจาคทันที เมื่อยอดครบ 500 ล้านบาท
นอกจากสนับสนุนด้านการทำแพลตฟอร์มรองรับการบริจาคแล้ว ธนาคารได้ร่วมประชาสัมพันธ์โครงการ “วัคซีนเพื่อคนไทย” ผ่านสื่อต่างๆ ของธนาคาร เพื่อเชิญชวนประชาชนร่วมกันบริจาค เป็นการสนับสนุนให้เกิดการผลิตวัคซีนโควิด-19 เพื่อคนไทย หากมีข้อสังสัยหรือคำถามเกี่ยวกับการบริจาค สามารถติดตามข้อมูลได้จากเว็บไซต์www.CUEnterprise.co.th หรือโทร 02-5765- 500
ทีม Marketing Strategy
โทร 0-2208-4174-8
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37622 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน จัดโปรโมชั่นสินเชื่อ-เงินฝาก ส่งท้ายปี ในงาน Money Expo 2020 Year-End | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ออมสิน จัดโปรโมชั่นสินเชื่อ-เงินฝาก ส่งท้ายปี ในงาน Money Expo 2020 Year-End
ธนาคารออมสินเตรียมบริการทางการเงินแบบครบวงจรและโปรโมชั่นมากมายส่งท้ายปี 2563 ในงานมหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 4 หรือ Money Expo 2020 Year-End ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 17-20 ธันวาคม 2563 ณ ฮอลล์ EH103-104 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า งานมหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 4 หรือ Money Expo 2020 Year-End ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 17-20 ธันวาคม 2563 ณ ฮอลล์ EH103-104 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ธนาคารออมสิน ได้เตรียมบริการทางการเงินแบบครบวงจรและโปรโมชั่นมากมายส่งท้ายปี 2563 โดยมีไฮไลท์ที่ “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 107” ระยะเวลาฝาก 107 วัน ให้ดอกเบี้ยสูงเฉลี่ยเทียบเท่าเงินฝากประจำ 3.52% ต่อปี ผู้สนใจสามารถรับใบจองสิทธิ์ได้ภายในงานตลอดทั้ง 4 วัน เพียง 700 สิทธิ์เท่านั้น แบ่งเป็น 7 รอบ ๆ ละ 100 สิทธิ์ รับฝากเฉพาะบุคคลธรรมดา อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ฝากได้คนละ 1 บัญชี เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท ฝากสูงสุดไม่เกินรายละ 500,000 บาท จะเปิดบัญชีภายในงานหรือที่สาขาใดก็ได้ช่วงวันที่ 17 ธันวาคม ถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ผู้ฝากต้องใช้บริการ Mobile Banking (MyMo) และบัตรเดบิตของธนาคารออมสินควบคู่ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นสินเชื่อเคหะ สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัย ปลูกสร้าง ต่อเติมซ่อมแซม หรือไถ่ถอนจำนอง (รีไฟแนนซ์) จากสถาบันการเงินอื่น โดยทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี 2.50% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-1.50% ต่อปี (ปัจจุบัน MRR ของธนาคารฯ = 6.245%)
ด้าน “สินเชื่อ GSB SMEs Startup No.1” สำหรับผู้ประกอบการระยะเริ่มต้นที่ดำเนินกิจการมาแล้วไม่เกิน 3 ปี เพียงมีไอเดียหรือนวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจ ได้แก่ มีการตลาดใหม่ มีผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือ มีกระบวนการผลิตใหม่ ธนาคารฯ ให้วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท กรณีทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ หลักทรัพย์ค้ำประกันมากกว่า 50% อัตราดอกเบี้ยปีแรกเพียง 1.07% หลังจากนั้น MOR/MRR + 1.50% ต่อปี
สำหรับ “สินเชื่อธุรกิจ GSB D-VERs” เป็นเงินกู้เพื่อหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ลงทุนในสินทรัพย์ถาวร หรือเพื่อไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น ธนาคารฯ ให้เงินกู้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวนเงินให้กู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาท สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยวงเงินกู้ 1-20 ล้านบาท กรณีทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ หลักทรัพย์ค้ำประกันเต็มวงเงิน อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 = 3.99% ปีที่ 2 = 4.99% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย MOR/MLR+0.75% (ปัจจุบัน MOR ของธนาคารฯ = 5.995% และ MLR = 6.150%) และกรณีหลักทรัพย์ค้ำประกันตั้งแต่ร้อยละ 30 อัตราดอกเบี้ย MOR/MLR+1.25% สำหรับวงเงินกู้ 20-100 ล้านบาท กรณีทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันเต็มวงเงิน อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก = 4.00% ต่อปี หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ย MOR/MLR+0.75% และกรณีหลักทรัพย์ค้ำประกันตั้งแต่ร้อยละ 30 อัตราดอกเบี้ย MOR/MLR+1.00%
“รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมล่วงหน้าได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน โทร.1115 หรือสอบถามพนักงานภายในบูธได้ตลอดการจัดงาน ซึ่งนอกจากโปรโมชั่นข้างต้นแล้วผู้เข้าร่วมงานยังได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ พร้อมรับของที่ระลึกมากมาย” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
https://www.gsb.or.th/news/gsbpr76/
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37626 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมชี้แจงแนวทางการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการและการขับเคลื่อนแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ประชุมชี้แจงแนวทางการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการและการขับเคลื่อนแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564
กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมชี้แจงแนวทางการตรวจราชการฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญแบบบูรณาการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายอภัย สุทธิสังข์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการและการขับเคลื่อนแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ระหว่างวันที่ 15 - 16 ธันวาคม 2563 ณ กรมพัฒนาที่ดิน โดยมีผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ช่วยผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับกรม ผู้อำนวยการสำนักแผนงานของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญแบบบูรณาการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ 1 ตำบล 1 กลุ่มทฤษฎีใหม่ การส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) การลดต้นทุนผลิต การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เกษตรกร การบริหารจัดการประมงอย่างยั่งยืน โครงการสัตว์ปลอดโรคคนปลอดภัยจากพิษสุนัขบ้าตามพระปณิธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 การบริหารจัดการแหล่งน้ำทั้งระบบ การขับเคลื่อนระบบตลาดนำการผลิต การขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) และการจัดทำข้อมูลสารสนเทศด้านการเกษตร
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37627 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศ.ค.ส. ‘ศึกษาธิการส่งความสุข’ ปันสุขสู่น้อง ส่งต่อความรักสู่น้องๆ ในพื้นที่ห่างไกล-ชายขอบทั่วประเทศ | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ศ.ค.ส. ‘ศึกษาธิการส่งความสุข’ ปันสุขสู่น้อง ส่งต่อความรักสู่น้องๆ ในพื้นที่ห่างไกล-ชายขอบทั่วประเทศ
ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดกิจกรรม “ศ.ค.ส. ศึกษาธิการส่งความสุข” ปันสุขสู่น้อง ปีที่ 2
‘กนกวรรณ วิลาวัลย์’ เปิดกิจกรรม “ศ.ค.ส.ศึกษาธิการส่งความสุข” ปันสุขสู่น้อง ปีที่ 2 โดยให้สำนักงาน กศน.จัดกิจกรรมร่วมกับภาคีเครือข่าย มอบสิ่งของ ส่งความสุข เช่น หนังสือเรียน อุปกรณ์กีฬา เครื่องนุ่งห่ม ให้น้อง ๆ ในพื้นที่ห่างไกล-ชายขอบทั่วประเทศ
(14 ธันวาคม 2563) ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดกิจกรรม “ศ.ค.ส. ศึกษาธิการส่งความสุข” ปันสุขสู่น้อง ปีที่ 2 พร้อมด้วย ดร.กมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศธ., ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ศธ. เข้าร่วมงาน ที่กระทรวงศึกษาธิการ
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงาน กศน.ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ส่งต่อความรัก แบ่งปันความสุข จากพี่สู่น้องในพื้นที่ชายขอบและทุรกันดารห่างไกลทั่วประเทศ ในช่วงเทศกาลแห่งความสุขวันเด็กแห่งชาติ และต้อนรับปีใหม่ 2564 ภายใต้กิจกรรมโครงการ “ศ.ค.ส. ศึกษาธิการส่งความสุข”
เนื่องจากในปัจจุบัน เด็กและเยาวชนเหล่านั้น ยังประสบปัญหาในเรื่องการขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอน และสื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัย หนังสือเรียน อุปกรณ์กีฬา โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว เครื่องนุ่งห่มและอุปกรณ์กันหนาวไม่เพียงพอเป็นจำนวนมาก จึงได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายอาสาเป็นผู้ส่งผ่านความสุข โดยการจัดหาและการรับบริจาคสิ่งของอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเติมเต็มความรัก ความอบอุ่น และกำลังใจ ให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้มีรอยยิ้มที่สดใส เป็นของขวัญปีใหม่ที่มาจากการร่วมแรงร่วมใจจากผู้ที่มีจิตศรัทธาที่ห่วงใยลูกหลานไทย อีกทั้งยังร่วมสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทย ทั้งในเรื่องของน้ำใจ การให้ และการแบ่งปันให้คงอยู่คู่คนไทย และยืนยันว่าจะมีกิจกรรมโครงการดี ๆ แบบนี้ในปีต่อไปแน่นอน
ในการนี้ รมช.ศึกษาธิการ ได้มอบสิ่งของส่งความสุขให้แก่ตัวแทนน้อง ๆ เด็กและเยาวชน เช่น นักเรียนโรงเรียนวัดพระยาทำ, นักศึกษา กศน.เขตคลองเตย จากมูลนิธิส่งเสริมการพัฒนาบุคคล (ศูนย์เมอร์ซี่), กลุ่มเด็กออทิสติก เป็นต้น และได้ส่งต่อสิ่งของบริจาคให้กับปลัด ศธ.เพื่อนำไปมอบให้กับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ชายขอบ และทุรกันดารห่างไกลทั่วประเทศต่อไป
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวเพิ่มเติมว่า สืบเนื่องจาก “ศ.ค.ส. ศึกษาธิการส่งความสุข” ครั้งแรกในปี 2562 ประสบความสำเร็จ ได้รับรอยยิ้ม และเสียงตอบรับที่ดีมาก ทั้งยังคงแนวคิดให้สำนักงาน กศน.ทุกแห่งทั่วประเทศ เป็นจุดเชื่อมสะพานบุญระหว่างผู้ให้ ประกอบกับวัตถุประสงค์ของกิจกรรม เพื่อแบ่งปันความสุขสู่เด็ก เยาวชน ประชาชนในพื้นที่ชายขอบ ถิ่นทุรกันดารและพื้นที่ห่างไกล ในช่วงเทศกาลปีใหม่ และวันเด็กแห่งชาติ 2564 ภายใต้ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในพื้นที่ต่าง ๆ ร่วมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมดี ๆ ซึ่งทางสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงาน กศน. เป็นสื่อกลางส่งความสุขและรอยยิ้มที่สดใสไปยังผู้รับในพื้นที่ห่างไกลต่อไป
อานนท์ วิชานนท์ / สรุป กิตติกร แซ่หมู่ / ภาพ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37620 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. เล็งพัฒนากีฬาในสถานศึกษา พร้อมร่วมมือ วธ. สร้างความตระหนักศิลปวัฒนธรรมให้เด็กและเยาวชน พร้อมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ศธ. เล็งพัฒนากีฬาในสถานศึกษา พร้อมร่วมมือ วธ. สร้างความตระหนักศิลปวัฒนธรรมให้เด็กและเยาวชน พร้อมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมร่วม ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
เมื่อวันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมร่วม ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยมี คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานคณะอนุกรรมการด้านกีฬา, นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตลอดจนผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนทุกระดับให้มีคุณภาพ ควบคู่กับการส่งเสริมกิจกรรมด้านการกีฬา เพื่อให้เด็กมีทักษะกีฬาขั้นพื้นฐาน ด้วยการสนับสนุนอุปกรณ์กีฬา ผู้ฝึกสอน และสนามกีฬา เป็นต้น โดยในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้หารือกับหน่วยงานต่างประเทศหลายองค์กร เพื่อร่วมกันสนับสนุนการกีฬาในสถานศึกษาให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับความร่วมมือด้านวัฒนธรรม อาทิ การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมในโรงเรียนหรือห้องสมุด เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมของชาติและของท้องถิ่นด้วยตนเอง โดยกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงวัฒนธรรม สามารถแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้ร่วมกัน รวมถึงการสร้างแรงจูงใจให้เด็กและเยาวชนเห็นความสำคัญในการสืบสาน รักษา และต่อยอดวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่
ในส่วนของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น ได้หารือถึงแนวทางการพัฒนาทักษะดิจิทัล (Digital Literacy), การพัฒนาครูต้นแบบด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี, การพัฒนาโรงเรียนต้นแบบทักษะศตวรรษที่ 21 ตลอดจนการจัดทำข้อมูลสารสนเทศกำลังคนที่มีความสามารถพิเศษของประเทศ เป็นต้น
"ขณะนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีแนวคิดที่จะผลักดันเรื่องกีฬาในชีวิตประจำวันของนักเรียน ประมาณ 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กสัมผัสกีฬาที่หลากหลาย และค้นหาความถนัดของตนเอง รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาทักษะและศักยภาพ และการเพิ่มจำนวนของกรรมการผู้ตัดสินกีฬาประเภทต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการแข่งขันกีฬาในชุมชน ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เรามีโอกาสได้เห็นพัฒนาการของนักกีฬา ส่งผลให้มีการคัดเลือกและเฟ้นหานักกีฬาช้างเผือกที่มีความสามารถพิเศษในกีฬาแต่ละประเภท กระทรวงศึกษาธิการจำเป็นต้องตื่นตัวมาเป็นผู้นำการปฏิรูป และเริ่มสำรวจความพร้อมด้านต่าง ๆ ของโรงเรียนในแต่ละพื้นที่ เพื่อนำข้อมูลมาวางแผนด้านกำลังคน งบประมาณ และการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ต่อไป" รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กล่าวว่า คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 13 ด้าน โดยคณะอนุกรรมการด้านกีฬามีแผนที่จะดำเนินกิจกรรมปฏิรูปประเทศด้านกีฬาในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางในการสร้างวิถีชีวิตทางการกีฬา และการออกกำลังกายอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางการกีฬา และพัฒนานักกีฬาอาชีพผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การยกระดับลานกีฬาท้องถิ่นให้มีศักยภาพ, การใช้สถานศึกษาเป็นสถานที่ออกกำลังกายและลานกีฬาสำหรับประชาชน, การจัดถนนสายกีฬา, การส่งเสริมให้มีการแข่งขันกีฬาทุกโครงการ เป็นต้น ซึ่งความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการจะช่วยพัฒนาศักยภาพและทักษะด้านกีฬาให้กับเด็กและประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
นายอัมพร พินะสา เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา สพฐ. ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดการเรียนการสอน "ห้องเรียนกีฬา" ใน 9 จังหวัด เพื่อจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นด้านวิชาการ และพัฒนาทักษะกีฬาบาสเก็ตบอล ฟุตบอล และวอลเลย์บอล ให้กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา อีกทั้ง ให้การสนับสนุนโรงเรียนในสังกัด เพื่อเป็นศูนย์บริการด้านกีฬาให้กับคนในชุมชน โดยโรงเรียนที่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์กีฬา เป็นสถานที่ออกกำลังกายและฝึกฝนทักษะกีฬาให้กับนักเรียนและประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการส่งเสริมให้ครูพลศึกษาเป็นวิทยากรฝึกสอนกีฬาให้คนในชุมชน เพื่อพัฒนาทักษะด้านกีฬาให้กับเด็กและเยาวชนอย่างรอบด้าน
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.: รายงาน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37618 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงประชาชนได้รับผลกระทบ PM 2.5 สั่งในที่ประชุม ครม. ให้เจ้ากระทรวงติดตามหน่วยงานในกำกับเร่งแก้ PM 2.5 ลดผลกระทบด้านสุขภาพและการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนให้มากที่สุด | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
นายกฯ ห่วงประชาชนได้รับผลกระทบ PM 2.5 สั่งในที่ประชุม ครม. ให้เจ้ากระทรวงติดตามหน่วยงานในกำกับเร่งแก้ PM 2.5 ลดผลกระทบด้านสุขภาพและการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนให้มากที่สุด
นายกรัฐมนตรีห่วงประชาชนได้รับผลกระทบ PM 2.5 สั่งในที่ประชุม ครม. ให้เจ้ากระทรวงติดตามหน่วยงานในกำกับเร่งแก้ PM 2.5 ลดผลกระทบด้านสุขภาพและการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนให้มากที่สุด
นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบรายงานปัญหาฝุ่นPM 2.5และห่วงใยประชาชนที่อาศัยและทำกิจกรรมในพื้นที่ที่สถานการณ์ฝุ่นPM 2.5รุนแรงโดยได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาฝุ่นPM 2.5 ติดตามการปฏิบัติงานหน่วยงานในกำกับของตนเร่งบรรเทาฝุ่นPM 2.5 ลดผลกระทบด้านสุขภาพและการดำเนินชีวิตประจำวันให้มากที่สุดแต่ต้องไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมว่ารัฐบาลได้กำหนดแนวทางแก้ปัญหาPM 2.5 ยกระดับขึ้นเป็นวาระแห่งชาติโดยเมื่อวันที่23พฤศจิกายน2563คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ“การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (พ.ศ. 2563) ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง(แหล่งกำเนิด)เช่นยานพาหนะอุตสาหกรรมการเผาในที่โล่งการก่อสร้างและผังเมืองและภาคครัวเรือน และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษรวมทั้งแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง12มาตรการทั้งนี้ประชาชนสามารถติดตามรายงานสถานการณ์PM 2.5 ได้ตลอดผ่านเฟซบุ๊คแฟนเพจ“ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ(ศกพ.)” https://www.facebook.com/airpollution.CAPM
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่าระหว่างการเยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ยืนยันว่ารัฐบาลได้มีการออกมาตรการแก้ปัญหาPM 2.5 และให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องทั้งการจำกัดหรืองดการเผาลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลขอให้ใช้รถขนส่งมวลชนสาธารณะให้มากขึ้นตรวจจับรถควันดำอย่างเข้มงวดไม่ต่อใบอนุญาตรถที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายรวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังซึ่งที่ผ่านมาปัญหาเรื่องของPM2.5ก็ดีขึ้นยอมรับว่าปัญหาPM 2.5 มักจะเกิดในช่วงที่อากาศปิดในลักษณะครอบฝาซีรวมทั้งจากการเผาวัชพืชเพื่อเตรียมเพาะปลูกฤดูกาลใหม่การก่อสร้างการขนส่งคมนาคมและการจราจรซึ่งได้กำชับให้ไปดำเนินการตรวจสอบเพื่อลดผลกระทบด้านสุขภาพโดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็ก
อนึ่งในวันนี้ณศูนย์แถลงข่าวทำเนียบรัฐบาล นายอรรถพลเจริญชันษาอธิบดีกรมควบคุมมลพิษชี้แจงว่า เนื่องจากสภาพอากาศในช่วง1-2วันนี้ทำให้เกิดการสะสมของPM 2.5เกินค่ามาตรฐาน(50ไมโครกรัมลูกบาศก์เมตร)ทำให้เช้าวันนี้พื้นที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีค่าPM 2.5เกินค่ามาตรฐาน14 เขต ซึ่งพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีสั่งการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยกระทรวงอุตสาหกรรมกระทรวงคมนาคมกระทรวงสาธารณสุขสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรุงเทพมหานครยกระดับเชิงปฏิบัติการให้เข้มข้นขึ้นด้วยทั้งการปรับแผนเพิ่มตรวจสกัดรถควันดำงดการเผาในที่โล่งรวมไปถึงในจังหวัดใกล้เคียงกทม.ทุกจังหวัดตั้งแต่วันที่14 – 17ธ.ค.โดยจะมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่องรวมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนเติมน้ำมันที่มีค่ากำมะถันต่ำเพื่อช่วยลดควันดำซึ่งได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนผู้ประกอบการเช่นลดราคาน้ำมันลดราคาการตรวจสภาพเครื่องยนต์นายณัฐพลณัฏฐสมบูรณ์อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่ากรมอุตุนิยมวิทยาจะประสานกับกรมควบคุมมลพิษเพื่อนำข้อมูลมาแจ้งเตือนกับประชาชนเป็นระยะๆ ซึ่งช่วงปีใหม่นี้ยังต้องตรวจสอบสภาพอากาศดูความกดอากาศสูงว่ามาต่อเนื่องหรือไม่แต่คาดว่าในช่วง2วันหลังจากนี้ปริมาณฝุ่นจะลดลงเพราะมีลมพัด นายแพทย์ดนัยธีวันดารองอธิบดีกรมอนามัยเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่สีส้มสีแดงซึ่งมีค่าPM2.5สูงและผู้ที่มีโรคประจำตัวควรอยู่ในพื้นที่ปลอดฝุ่นหากมีอาการหายใจไม่สบายสามารถปรึกษาแพทย์ได้ในโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนทุกแห่งในพื้นที่สำหรับโรงเรียนขอให้ลดระยะเวลาการเข้าแถวตอนเช้ารวมทั้งป้องกันฝุ่นในห้องเรียนด้วยโอกาสเดียวกันนี้ร้อยตำรวจเอกพงศกรขวัญเมืองโฆษกกทม.ยืนยันกทม.ออกแผนปฏิบัติ2เดือนช่วงเดือนธ.ค. –ก.พ.อาทิการกำกับดูแลพื้นที่ก่อสร้างไม่ให้ทำกิจกรรมเกิดฝุ่นมากลดกิจกรรมกลางแจ้งในโรงเรียนการล้างถนนฉีดละอองน้ำจากอาคารสูงการเปิดคลินิกมลพิษเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายสำหรับการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่การก่อสร้างรถไฟฟ้าจะให้ดำเนินการได้แค่กิจกรรมที่ไม่เกิดฝุ่นเช่นการตกแต่งภายใน ในส่วนการขนดินการถมพื้นที่การขุดเจาะจะประสานขอให้งดกิจกรรมในช่วง2-3วันนี้ก่อนเพราะก่อให้เกิดฝุ่นปริมาณมาก และดร.สุพัฒน์หวังวงศ์วัฒนานักวิชาการอาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ความเห็นทางวิชาการว่ามาตรการแก้ปัญหาฝุ่นPM2.5ของรัฐบาลเดินทางแล้วโดยอาศัยวิชาการเป็นหลักในการกำหนดนโยบายและมาตรการเน้นการกำจัดแหล่งต้นตอของฝุ่นรวมทั้งลดพฤติกรรมตนเองที่จะเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นPM2.5ในที่สุดเชื่อว่าPM2.5สามารถหมดไปจากประเทศไทยเหมือนที่ไทยประสบความสำเร็จกำจัดสารตะกั่วซึ่งก็เป็นผลมาจากนโยบายและมาตรการของรัฐบาลเช่นกัน
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37643 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ให้ความสำคัญมาตรการสาธารณสุขในกิจกรรมรวมคนจำนวนมาก/แออัด อย่างเคร่งครัด สกัดกั้นโควิด-19 พร้อมเพิ่มความถี่ตรวจตรามิให้กระทบธุรกิจและบรรยากาศช่วงเท | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ให้ความสำคัญมาตรการสาธารณสุขในกิจกรรมรวมคนจำนวนมาก/แออัด อย่างเคร่งครัด สกัดกั้นโควิด-19 พร้อมเพิ่มความถี่ตรวจตรามิให้กระทบธุรกิจและบรรยากาศช่วงเท
ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ให้ความสำคัญมาตรการสาธารณสุขในกิจกรรมรวมคนจำนวนมาก/แออัด อย่างเคร่งครัด สกัดกั้นโควิด-19 พร้อมเพิ่มความถี่ตรวจตรามิให้กระทบธุรกิจและบรรยากาศช่วงเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่ 64
วันนี้ (15 ธ.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ในประเทศยังคงมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดในวงกว้าง และขณะนี้เข้าสู่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ 2564 ซึ่งจะมีประชาชนรวมกลุ่มจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเป็นจำนวนมาก อาจเกิดการแออัด และจะก่อให้เกิดการติดต่อ และแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้โดยง่าย
เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ 2564 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และกรุงเทพมหานคร กำชับและเน้นย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด ในการจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก/แออัด เช่น กิจกรรมเคาท์ดาวน์ กิจกรรมทางศาสนา กิจกรรมตามประเพณี เป็นต้น และในกรณีการจัดคอนเสิร์ตหรือการแสดงในสถานที่ที่มิใช่สถานบริการหรือสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการในสถานการณ์ การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ถือปฏิบัติตามหนังสือสั่งการและแนวทางที่กำหนดไว้โดยเคร่งครัด รวมทั้งให้เพิ่มความถี่ในการออกตรวจตราเพื่อป้องปรามให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด โดยดำเนินการด้วยความละเอียดรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเอกชนและส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลฯ ด้วย นอกจากนี้ ให้ถือปฏิบัติตามมาตรการการป้องกัน แก้ไข ระงับยับยั้ง ฟื้นฟู หรือช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ยังมีผลบังคับใช้ตามประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังมีผลบังคับใช้ ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 และประกาศ เรื่อง การให้ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 ต่อไปด้วย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37621 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ผนึกกำลัง "ขับเคลื่อนการพัฒนาสมรรถนะองค์กรเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ การให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพและธรรมาภิบาล" | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ก.อุตฯ ผนึกกำลัง "ขับเคลื่อนการพัฒนาสมรรถนะองค์กรเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ การให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพและธรรมาภิบาล"
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการเปิดสัมมนา "ขับเคลื่อนการพัฒนาสมรรถนะองค์กรเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ การให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพและธรรมาภิบาล" ณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ กรุงเทพฯ
วันนี้ ( 15 ธันวาคม 2563) เวลา 09.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการเปิดสัมมนา "ขับเคลื่อนการพัฒนาสมรรถนะองค์กรเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ การให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพและธรรมาภิบาล" ภายใต้หัวข้อ การส่งเสริมจริยธรรม ธรรมาภิบาล เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ การพัฒนาสมรรถนะองค์กรเพื่อให้บริการอยากมีคุณภาพ และนำทีมแสดงเจตจำนงสุจริต โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมทั้งผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และอุตสาหกรรมจังหวัดและหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วม ณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37630 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานีกลางบางซื่อ ศูนย์กลางระบบรางอาเซียน | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
สถานีกลางบางซื่อ ศูนย์กลางระบบรางอาเซียน
วันอังคารที่ 15 ธัันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเดินหน้า สถานีกลางบางซื่อ ศูนย์กลางการคมนาคมแห่งใหม่ที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในอาเซียน โดยเป็นการเชื่อมระบบรางอย่างครบวงจร ได้แก่ รถไฟทางไกล รถไฟชานเมือง รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์สู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสู่ภูมิภาค รองรับขบวนรถไฟและรถไฟฟ้าได้พร้อมกัน 26 – 40 ขบวน นอกจากนี้ยังเชื่อมเข้ากับการคมนาคมในเขตเมือง เช่น รถไฟฟ้ามหานคร หรือ MRT และรถโดยสารประจำทางอีกด้วย ทั้งนี้การก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อคืบหน้าแล้วร้อยละ 99 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือน พ.ย. 2564 โดยสายแรกที่จะให้บริการคือรถไฟฟ้าสายสีแดงความเร็ว 120 กม./ชม. ใช้เวลาจากบางซื่อถึงรังสิตเพียง 30 นาทีเท่านั้น
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37613 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พร้อมครม.เยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อ และทดสอบนั่งรถไฟชานเมืองสายสีแดง ยกระดับ “ระบบคมนาคมขนส่งทางราง” แนะเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจตลอดแนวเส้นทางตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
นายกฯ พร้อมครม.เยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อ และทดสอบนั่งรถไฟชานเมืองสายสีแดง ยกระดับ “ระบบคมนาคมขนส่งทางราง” แนะเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจตลอดแนวเส้นทางตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง
นายกฯ พร้อมครม.เยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อ และทดสอบนั่งรถไฟชานเมืองสายสีแดง ยกระดับ “ระบบคมนาคมขนส่งทางราง” แนะเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจตลอดแนวเส้นทางตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง
วันนี้ (15 ธ.ค. 63) เวลา 13.30 น. ณ สถานีกลางบางซื่อ กรุงเทพมหานคร นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อ และรับฟังแผนการพัฒนาที่ดินบริเวณรอบสถานีกลางบางซื่อ พร้อมทดลองการเดินขบวนรถไฟชานเมืองสายสีแดง ระหว่างสถานีกลางบางซื่อถึงสถานีรังสิต โดยมีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยบรรยายสรุปเกี่ยวกับวิวัฒนาการรถไฟเกล้ากษัตราและนาฬิกาหน้าปัดเลข 9 เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สถานีกลางบางซื่อด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานีกลางบางซื่อและโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ – รังสิตว่า ช่วยเติมเต็มการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมแนะให้มีการจัดเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับที่จอดรถให้เพียงพอที่จะเปิดให้บริการประชาชนอย่างเต็มรูปแบบในปีหน้า เพื่อรองรับสำหรับประชาชนที่มาใช้บริการทำให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับประโยชน์และเข้าถึงบริการขนส่งคมนาคมทางรางอย่างทั่วถึง สำหรับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) นั้น รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และความมั่นคงของประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนา “ระบบคมนาคมขนส่งทางราง” ซึ่งเป็นรูปแบบการเดินทางที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ให้เป็นรูปแบบการเดินทางหลักของประเทศ ทั้งโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตเมือง ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีม่วง สายสีชมพู สายสีเหลือง และสายสีส้ม ช่วยยกระดับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล บรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด ขณะเดียวกันยังได้พัฒนาโครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศและโครงข่ายรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา และรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เพื่อเชื่อมต่อทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพิ่มประสิทธิภาพด้านการเดินทาง ขนส่ง และโลจิสติกส์
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมห้องควบคุมการเดินรถไฟสายสีแดง และนำคณะรัฐมนตรีทดลองเดินทางด้วยรถไฟชานเมืองสายสีแดงจากสถานีกลางบางซื่อ ไปยังสถานีรังสิต เพื่อติดตามความคืบหน้าของงานก่อสร้าง เมื่อเดินทางถึงสถานีรังสิต มีประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรถไฟสายสีแดง การเวนคืนที่ดินเพื่อเยียวยาชุมชนเหล่านั้น ซึ่งได้ย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการก่อสร้างโครงการอย่างรอบคอบ อาทิ การจัดหาที่จอดรถให้เพียงพอกับความต้องการเดินทางของประชาชน การให้ข้อมูลกับประชาชนในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองเป็นอีกหนึ่งระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน แต่ต้องไม่ลืมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการนี้ด้วย ขณะเดียวกัน ยังเสนอให้เน้นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง การใช้ประโยชน์จากสองข้างทางระหว่างเดินรถ รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่ว่างเปล่าของเอกชนให้สร้างกิจกรรมเศรษฐกิจได้เพิ่มเติมด้วย
.....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37638 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ผนึกกำลัง จับมือพันธมิตร 3 หน่วยงาน ลงนามข้อตกลงความร่วมมือการรับรองระบบงานไทยด้วยเครือข่าย Single platform | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
ก.อุตฯ ผนึกกำลัง จับมือพันธมิตร 3 หน่วยงาน ลงนามข้อตกลงความร่วมมือการรับรองระบบงานไทยด้วยเครือข่าย Single platform
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนาม ข้อตกลงความร่วมมือณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ กรุงเทพฯ
วันนี้ ( 15 ธันวาคม 2563) เวลา 10.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนาม ข้อตกลงความร่วมมือ การรับรองระบบงานในประเทศไทยแบบเครือข่าย Sigle platform ประกอบไปด้วย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมวิทยาศาสตร์บริการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้า และบริการตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติ อุตสาหกรรมเป้าหมาย และแผนปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งเชื่อมโยงฐานข้อมูลของทั้ง 3 หน่วยงาน สามารถเข้าถึงข้อมูลและนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน ณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ กรุงเทพฯ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37633 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันจังหวัดมีผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจากท่าขี้เหล็ก เข้าสู่สถานการณ์ปกติ | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
สธ.ยันจังหวัดมีผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจากท่าขี้เหล็ก เข้าสู่สถานการณ์ปกติ
สธ.ยันจังหวัดมีผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจากท่าขี้เหล็ก เข้าสู่สถานการณ์ปกติ
กระทรวงสาธารณสุข ยันจังหวัดที่มีผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจากท่าขี้เหล็กเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ไม่พบผู้ติดเชื้อมากกว่า 10 วัน ส่วนเชียงรายพบผู้ป่วยเพิ่มอีก 3 รายในสถานกักกันโรค อยู่ระหว่างรอผลทางห้องปฏิบัติการยืนยันอีกครั้ง ส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่มาจากต่างประเทศวันนี้มี 9 ราย และเข้ารับการกักกันทั้งหมด ย้ำจัดงานรื่นเริงได้ แต่ต้องขออนุญาต และมีมาตรการป้องกันโควิด 19
วันนี้ (15 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศและต่างประเทศ
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า จังหวัดที่มีผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากกว่า 10 วันแล้ว ได้แก่ เชียงใหม่ พะเยา กทม. พิจิตร ราชบุรี และสิงห์บุรี ส่วน จ.เชียงราย แม้ล่าสุดพบผู้ติดเชื้ออีก 3 ราย อยู่ระหว่างรอผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันอีกครั้งและทั้ง 3 รายอยู่ในระบบกักกันของรัฐถือว่ามีความปลอดภัยและใช้ชีวิตได้ตามปกติ เดินทางไปท่องเที่ยวได้ กลับมาไม่ต้องกักตัวอย่างไรก็ตาม ที่บริเวณชายแดน ทั้งเมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและปกครองยังคงเข้มงวด
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนการจัดงานคอนเสิร์ตหรืองานรื่นเริงช่วงเทศกาลปีใหม่นั้น เนื่องจากประเทศไทยไม่มีพื้นที่ที่มีการระบาด จึงสามารถจัดกิจกรรมต่างๆ ได้ โดยต้องขออนุญาตผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น การใช้เสียงต้องขออนุญาตฝ่ายปกครองหรือท้องถิ่น จัดทำแผนมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 เสนอขออนุญาตคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การจัดงานที่ปลอดภัยจากโรคโควิด 19 ต้องอาศัยความร่วมมือจาก 3 ฝ่าย ได้แก่ 1. ผู้จัดงาน ควรจัดในสถานที่ที่ลดความเสี่ยงการเกิดโรค มีการเว้นระยะห่าง ไม่แออัด คัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ ทำความสะอาดห้องน้ำและพื้นผิว มีแอลกอฮอล์เจลล้างมือ และมีผู้กำกับในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ 2. ประชาชนต้องสวมหน้ากาก ถอดในเวลาที่จำเป็น คือ การดื่มน้ำรับประทานอาหาร สแกนไทยชนะทุกครั้ง หากกลับมามีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้พบแพทย์และแจ้งสถานที่ที่ไป และ 3. เจ้าหน้าที่ต้องมีการตรวจสอบว่าจัดงานเหมาะสมหรือไม่ หากไม่เหมาะสมจะแจ้งผู้จัดให้แก้ไข
ยกตัวอย่างเช่น การจัดงานที่เหมาะสมคนแบ่งคนออกเป็นกลุ่มๆ ไม่ให้มีการปะปน โดยกลุ่มหนึ่งอาจรวมกันไม่เกิน 10 คน โดยใช้พื้นที่ประมาณ 2 ตารางเมตรต่อคน และจัดระยะห่างระหว่างกลุ่มประมาณ 3 เมตร ก็จะเกิดความปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย หากมีปัญหาจะสามารถดูแลเป็นกลุ่มๆ ได้ง่าย ทั้งนี้ หากทุกฝ่ายร่วมมือกันจะช่วยให้จัดงานได้อย่างมีความสุขในทุกเทศกาล
นายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ จำนวน 9 ราย ทั้งหมดเป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ หายป่วยเพิ่มขึ้น 9 ราย ทำให้ผู้ป่วยยืนยันสะสมรวม 4,246 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 2,463 ราย มาจากต่างประเทศ 1,783 ราย รักษาหายสะสม 3,949 ราย กำลังรักษาในโรงพยาบาล 237 ราย และเสียชีวิตรวม 60 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ เดินทางมาจากสวิตเซอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา ประเทศละ 2 ราย เอธิโอเปีย สหราชอาณาจักร โรมาเนีย เนเธอร์แลนด์ และกาตาร์ ประเทศละ 1 ราย เข้ารับการกักกันในสถานกักกันที่รัฐกำหนด (ASQ) 8 ราย และสถานกักกันในสถานพยาบาลทางเลือก (AHQ) 1 ราย ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการทุกราย ในจำนวนนี้เคยมีประวัติติดเชื้อโควิด 19 มาก่อน จำนวน 3 ราย
สำหรับสถานการณ์โควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5.28 แสนราย ผู้ติดเชื้อสะสมรวม 73.1 ล้านราย มีอาการรุนแรง 106,515 ราย รักษาหายแล้ว 51.3 ล้านราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 8,961 ราย เสียชีวิตสะสม 1.62 ล้านราย 10 อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร ตุรกี อิตาลี สเปน และอาร์เจนตินา ส่วนในทวีปเอเชีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน ญี่ปุ่น บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ยังมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นในหลักพันราย
นายแพทย์จักรรัฐกล่าวว่า สำหรับข้อสงสัยว่าใครจะมีความเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำนั้น แนวทางปฏิบัติการเฝ้าระวังสอบสวนควบคุมโรค ผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด 19 หากเป็นผู้สัมผัสโดยตรงทั้งเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำจะอยู่ในวงที่ 1 ซึ่งจะได้รับกักกันโรคและตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการตามที่กำหนด หากในวงที่ 1 ยังไม่พบการติดเชื้อ ผู้สัมผัสของวงที่ 1 ซึ่งถือว่าเป็นวงที่ 2 จึงมีความเสี่ยงน้อย การปฏิบัติคือให้สังเกตอาการ หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน และให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ส่วนวงที่ 3 ที่สัมผัสกับวงที่ 2 ก็จะยิ่งมีโอกาสพบการติดเชื้อต่ำมาก จึงไม่จำเป็นต้องกักตัวหรือตรวจทางห้องปฏิบัติการจนกว่าผู้สัมผัสวงที่ 1 จะตรวจพบการติดเชื้อ ดังนั้น หากเปรียบเทียบกับกรณีกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อโควิด 19 นั้น เริ่มจากผู้ป่วยรายที่ 4 ที่ติดเชื้อและมีอาการเป็นคนแรก มีผู้สัมผัสวงที่ 1 คือ ผู้ป่วยรายที่ 1 2 3 และ 5 ส่วนผู้ป่วยรายที่ 6 สัมผัสกับผู้ป่วยรายที่ 1 ถือว่าอยู่ในวงที่ 2 และผู้ป่วยรายที่ 7 ที่พักห้องเดียวกับผู้ป่วยรายที่ 6 ถือว่าอยู่ในวงที่ 3 แต่จากระบบการเฝ้าระวัง กักกัน และตรวจหาเชื้อ ทำให้มีโอกาสแพร่สู่วงถัดไปต่ำ
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37632 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการสร้างและพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยายยนต์สมัยใหม่ | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการสร้างและพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยายยนต์สมัยใหม่
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการสร้างและพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยายยนต์สมัยใหม่ ณ ห้องชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (15 ธันวาคม 2563) เวลา 13.30 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการสร้างและพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยายยนต์สมัยใหม่ และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ครั้งที่ 1/2563 โดยมี คณะทำงานและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37635 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชมสตาร์ทอัพไทย ยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัล สร้างรายได้แก่ประเทศ พร้อมเชิญชวน “กินของไทย ใช้ของไทย” ส่งเสริมสินค้าเกษตรและ OTOP จัดกระเช้าของขวัญ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก | วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2563
นายกรัฐมนตรีชมสตาร์ทอัพไทย ยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัล สร้างรายได้แก่ประเทศ พร้อมเชิญชวน “กินของไทย ใช้ของไทย” ส่งเสริมสินค้าเกษตรและ OTOP จัดกระเช้าของขวัญ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
นายกรัฐมนตรีชมสตาร์ทอัพไทย ยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัล สร้างรายได้แก่ประเทศ พร้อมเชิญชวน “กินของไทย ใช้ของไทย” ส่งเสริมสินค้าเกษตรและ OTOP จัดกระเช้าของขวัญ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
วันนี้ (15 ธ.ค. 63) เวลา 09.00 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชมนิทรรศการดิจิทัลสตาร์ทอัพ (Digital Thailand Big Bang : Digital Station) โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมร่วมประชาสัมพันธ์การจัดงาน “ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน” โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ งาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” โดยกระทรวงมหาดไทย โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมในครั้งนี้ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทดลองเล่นเกม Timeline ซึ่งเป็นรูปแบบเกมผจญภัยเพื่อฝึกลับสมอง โดยช่วยตัวละครในเกมหาทางออก โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมศักยภาพของสตาร์ทอัพไทยที่สามารถพัฒนาเกมที่มีความสร้างสรรค์ ลดความรุนแรง ส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลให้สามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยอีกด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังเดินหน้าขับเคลื่อนสตาร์ทอัพ อี คอมเมิร์ซ (E-Commerce) รวมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อเปิดพื้นที่ให้เกิดการแข่งขัน และเพิ่มการลงทุนอุตสาหกรรมเกมด้วย นายกรัฐมนตรียังได้เสนอให้มีการพัฒนาเกมในรูปแบบ Hospitality อาทิ การดูแลผู้สูงอายุ ช่วยเหลือผู้พิการ เพื่อเป็นการปลูกสร้างจิตสำนึกให้แก่ผู้เล่น
จากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์ งาน “ช้อปวิถีใหม่ ส่งสุขทั่วไทยถึงหน้าบ้าน” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 – 23 ธ.ค. 63 ณ ศูนย์การค้า พาราไดซ์ พาร์ค โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับบริษัทขนส่งภาคเอกชน พัฒนาและขยายตลาดสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ ผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะในเทศกาลปีใหม่นี้ ลดการเดินทางและลดการสัมผัส ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชมการดำเนินโครงการว่า เป็นโครงการที่ดี สามารถต่อยอดพัฒนาการขายสินค้าแบบอีคอมเมิร์ซเพื่อช่วยสนับสนุนเกษตรกร ขอให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนและบริโภคสินค้าเกษตรของไทย เบื้องต้นอาจเป็นการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ภายในประเทศ ต่อไปก็สามารถพัฒนาไปสู่อีคอมเมิร์ซในตลาดต่างประเทศได้ โดยภาครัฐร่วมมือกับภาคเอกชนจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น เมื่อซื้อสินค้าแล้วแล้วจัดส่งทางบริษัทขนส่ง อาจเพิ่มให้มีการลุ้นชิงโชคเพื่อรับรางวัลเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน
นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์การจัดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” โดยกระทรวงมหาดไทย โดยนำผลิตภัณฑ์ชุมชน จัดเป็นกระเช้าของขวัญ ของฝากในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อกระจายรายได้ให้แก่ท้องถิ่น และประชาสัมพันธ์สินค้า OTOP จากภูมิปัญญาคนไทย โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมในการรวบรวมสินค้า OTOP จากหลายจังหวัดเพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อได้อย่างสะดวกเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ พร้อมแนะให้มีการเพิ่มช่องทางสั่งซื้อบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้สามารถจัดเป็นกระเช้าปีใหม่และส่งไปตามที่ต่าง ๆ ได้ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้เลือกซื้อผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติ ลวดลายสวยงามในลักษณะไทยประยุกต์ ทั้งนี้ งาน OTOP City 2020 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ระหว่างวันที่ 19 – 27 ธ.ค. 63 ณ เมืองทองธานี
......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37624 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกชนหนุนภารกิจ กพร. มอบแอร์มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท Up Skill แรงงาน | วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563
เอกชนหนุนภารกิจ กพร. มอบแอร์มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท Up Skill แรงงาน
- -
วันที่ 19 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานรับมอบเครื่องปรับอากาศจากบริษัท มาเวลคอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงานช่างเครื่องปรับอากาศ ระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กับ บริษัท มาเวล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ภายใต้นโยบายการสนับสนุนเครื่องปรับอากาศ เพื่อการพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวน 90 ชุด มูลค่า 1 ล้านบาท เพื่อให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานนำไปใช้ประโยชน์ในการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน สาขาช่างเครื่องปรับอากาศ โดยมีนายปริญญา มานวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ เป็นผู้ส่งมอบ ในงานเส้นทางสู่ความสำเร็จ (Road To Success 2012) ณ ห้องฟอร์จูน 1-3 โรงแรมแกรนด์เมอร์เคียว ฟอร์จูน กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน มีภารกิจในการพัฒนาฝีมือแรงงานที่อยู่ในตลาดแรงงานให้มีทักษะฝีมือสูงขึ้น ประกอบกับกระทรวงแรงงานได้ประกาศกำหนด ให้สาขาอาชีพช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ เป็นสาขาอาชีพที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ โดยสาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคารเป็นสาขาแรก ต้องดำเนินการโดยผู้ได้รับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ (License) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และจะส่งเสริมการรับรองความรู้ความสามารถเพิ่มเติม อีก 4 สาขา ได้แก่ ช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ ช่างเชื่อมทิก ช่างเชื่อมแม็ก และช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก
รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัท มาเวล คอร์ปอเรชั่น จำกัด สนับสนุนเครื่องปรับอากาศ ให้แก่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรช่างเครื่องปรับอากาศ ให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือสูงขึ้นได้มาตรฐานฝีมือแรงงาน ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมทั้งแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการปฏิบัติงานทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่ง กพร.จะส่งมอบเครื่องปรับอากาศที่ได้รับ ให้แก่หน่วยงานของกพร.ในแต่ละจังหวัดนำไปใช้ฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือต่อไป
“การพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานไทย ต้องได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งตัวของแรงงานเองที่ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะฝีมืออย่างต่อเนื่อง ให้ทันต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ เรียนรู้ตลอดเวลา ในส่วนของภาครัฐ ต้องบริหารจัดการงบประมาณและทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุด ดังนั้น การสนับสนุนของภาคเอกชน จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนากำลังแรงงาน เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศต่อไป ความร่วมมือในวันนี้จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมและการทำงานแบบประชารัฐ เพื่อยกระดับฝีมือให้แรงงานไทย ให้มีงานทำมีฝีมือที่ได้มาตรฐาน และพัฒนาตนเองไปสู่มาตรฐานที่สูงขึ้น เพิ่มโอกาสรับค่าจ้างที่สูงขึ้นตามอัตราค่าจ้างมาตรฐานฝีมือต่อไป” รมช. แรงงาน กล่าวท้ายสุด
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37743 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เปิดตลาดกะเหรี่ยงและแปลงไม้ดอกไม้ประดับ บ้านอีมาดอีทราย จังหวัดอุทัยธานี | วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563
เปิดตลาดกะเหรี่ยงและแปลงไม้ดอกไม้ประดับ บ้านอีมาดอีทราย จังหวัดอุทัยธานี
รมช.มนัญญา เปิดตลาดกะเหรี่ยงและแปลงไม้ดอกไม้ประดับ บ้านอีมาดอีทราย จังหวัดอุทัยธานี สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงเกษตรบนพื้นที่สูง ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้ชุมชน
มนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิด“ตลาดกะเหรี่ยงและแปลงไม้ดอกไม้ประดับบ้านอีมาดอีทราย”ณ เขตพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงแม่ดีน้อยตำบลแก่นมะกรูดอำเภอบ้านไร่จังหวัดอุทัยธานีว่าจังหวัดอุทัยธานีได้บูรณาการร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรบนพื้นที่สูงหมู่4บ้านอีมาดอีทรายตำบลแก่นมะกรูดอำเภอบ้านไร่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรไม้ดอกไม้ประดับบนพื้นที่สูงที่มีศักยภาพเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งภายในและต่างจังหวัดที่เดินทางมาในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปีโดยในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นมาไม่น้อยกว่า80,000คนซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับจังหวัดไม่น้อยกว่า40ล้านบาท/ปี
รมช.มนัญญากล่าวว่ากิจกรรมเปิดตลาดฯในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกจังหวัดตลอดจนชาวต่างชาติได้รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของจังหวัดอุทัยธานีเป็นการเปิดตลาดและแปลงไม้ดอกไม้ประดับตลอดจนการออกบูธนิทรรศการจำหน่ายสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ผ้าทอกะเหรี่ยงซึ่งเป็นสินค้าเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับจังหวัดอุทัยธานี
จากนั้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เยี่ยมชมนิทรรศการบ้านกะเหรี่ยงจำลองสาธิตการทอผ้าการย้อมสีธรรมชาติเยี่ยมชมนิทรรศการไม้ผลเมืองหนาวไม้ดอกเมืองหนาวจากกรมวิชาการเกษตรเยี่ยมชมแปลงไม้ดอกไม้ประดับบริเวณหน้าเขตพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงแม่ดีน้อยและเยี่ยมชมขั้นบันไดทุ่งดอกคอสมอสเพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาพื้นที่สู่แปลงดอกไม้เมืองหนาว
ทั้งนี้กิจกรรมเปิดตลาดกะเหรี่ยงและแปลงไม้ดอกไม้ประดับบ้านอีมาดอีทรายอยู่ในโครงการส่งเสริมอาชีพและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรบนพื้นที่สูงโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างงานสร้างรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเกษตรผลิตภัณฑ์แปรรูปในชุมชนที่เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในพื้นที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่จังหวัดและชุมชนโดยตำบลแก่นมะกรูดมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ2แห่งคือ1)แหล่งท่องเที่ยวไม้ดอกเมืองหนาวบริเวณสภาตำบลแก่นมะกรูดหมู่1บ้านใต้และ2)แหล่งท่องเที่ยวไม้ดอกไม้ประดับและพืชเมืองหนาวบริเวณพื้นที่เขตพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงแม่ดีน้อยหมู่4บ้านอีมาด–อีทราย
| https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37747 |
Subsets and Splits